นายชยพล สท้อนดี และนายเอกราช อุดมอำนวย สส.พรรคก้าวไกล แถลงข่าวกรณีอภิปรายงบประมาณของกระทรวงกลาโหม
วันศุกร์ที่ 5 มกราคม 2567 เวลา 13.30 นาฬิกา ณ ห้องแถลงข่าว ชั้น 1 อาคารรัฐสภา นายชยพล สท้อนดี และนายเอกราช อุดมอำนวย สส.พรรคก้าวไกล แถลงข่าวกรณีอภิปรายงบประมาณของกระทรวงกลาโหม ภายหลังนายสุทิน คลังแสง รมว.กลาโหม ระบุว่า งบประมาณของกระทรวงกลาโหมได้น้อยอยู่แล้วเมื่อเทียบกับงบประมาณของกระทรวงอื่น โดยแท้จริงแล้วหากบวกกับงบที่มีไว้สำหรับจัดซื้อยุทโธปกรณ์ ถือว่ายังเป็นงบที่สูงมาก อีกทั้งการที่กระทรวงกลาโหมถูกตัดงบออก แสดงว่าตั้งใจของบประมาณสูงเกินจริงใช่หรือไม่ ส่วนกรณีเรื่องจัดซื้อเรือดำน้ำนั้น ในสัญญาระบุไว้ชัดอยู่แล้ว ว่าหากเกิดเหตุการณ์ไม่คาดฝันซึ่งขณะนั้นเกิดการระบาดของโควิด 19 ซึ่งตามสัญญาระบุว่าทั้งสองประเทศสามารถหาทางออกร่วมกันได้ ไม่ถือว่าเป็นการผิดสัญญา แต่การที่รมว.กลาโหมออกมาชี้ว่า ประเทศไทยผิดสัญญากับประเทศจีนนั้น ถือว่าเป็นการตั้งธงทางความคิดทำให้ประเทศไทยเสียเปรียบ ซึ่งจะมีผลต่อการเจรจาเรื่องการผิดสัญญากับจีนในอนาคต
ด้านนายเอกราช อุดมอำนวย กล่าวว่า การที่รมว.กลาโหม อ้างว่าปฏิบัติหน้าที่ 3 เดือน ไม่สามารถจัดการงบในปี 67 ได้ แต่ไม่ได้หมายความว่าการคาดการณ์งบประมาณในปีต่อ ๆ ไปจะจัดการไม่ได้ แต่ในการคาดการณ์กลับมีงบประมาณที่เพิ่มมากยิ่งขึ้น เพราะฉะนั้นแสดงว่า รมว.กลาโหมละเลยไม่ดูแลรายละเอียดงบประมาณ ถ้ามีการจัดลดงบประมาณที่คาดการณ์หรือพยากรณ์ไปข้างหน้าควรจะอยู่ในสัดส่วนที่เหมาะสมและเป็นไปตามทิศทางที่ได้แถลงไว้ พร้อมชี้ถึงโครงการก่อสร้างสนามบินอู่ตะเภาที่มีการปรับมติคณะรัฐมนตรี ที่จากเดิมโครงการอยู่ในความดูแลของ สำนักงานคณะกรรมการนโยบายเขตพัฒนาพิเศษภาคตะวันออก (สกพอ.) ถูกย้ายไปอยู่ในความดูแลของกองทัพเรือแทน สะท้อนให้เห็นว่ารัฐมนตรีว่าการกระทรวงกลาโหมฟังทหารมากเกินไป ซึ่งอาจส่งผลกระทบต่อการพิจารณาให้เงินกู้จากธนาคารต่างประเทศ จึงอยากขอเรียกให้ทบทวนนำโครงการสร้างสนามบินอู่ตะเภา อยู่ในความรับผิดชอบ สกพอ. มากกว่า กองทัพเรือ