ประธานคณะ กมธ.การอุตสาหกรรม และคณะ แถลงข่าว ผลการประชุมคณะ กมธ. ประเด็นการขนกากแร่อุตสาหกรรม (กากแคดเมียม)
วันพุธที่ 15 พฤษภาคม 2567 เวลา 13.50 นาฬิกา ณ ห้องแถลงข่าว ชั้น 1 อาคารรัฐสภา นายอัครเดช วงษ์พิทักษ์โรจน์ ประธานคณะ กมธ.การอุตสาหกรรม และคณะ แถลงข่าว ผลการประชุมคณะ กมธ. ประเด็นการขนกากแร่อุตสาหกรรม (กากแคดเมียม) ว่า การเคลื่อนย้ายกากแคดเมียมกลับไปที่บ่อบําบัด จ.ตาก มีการดำเนินการอย่างรอบคอบทั้งกระบวนการการซ้อนถุง (double bag) ใช้ตู้คอนเทนเนอร์สำหรับขนย้ายสารเคมีเป็นการเฉพาะ (ตู้ นอ.8) มีรถนําตลอดเส้นทาง มีการจัดเตรียมพื้นที่พักคอยกากแคดเมียม รวมถึงจัดเตรียมบ่อฝังกลบให้ได้มาตรฐาน EIA ซึ่งหน่วยงานที่เกี่ยวข้องดำเนินการอย่างระมัดระวังเพื่อให้มั่นใจว่าการดำเนินการเป็นไปด้วยความรอบคอบ รัดกุม และปลอดภัย ซึ่งขณะนี้ได้ทำการขนย้ายไปแล้วร้อยละ 14 โดยทุกอย่างเป็นไปตามแผนการดำเนินการ ขอให้ประชาชนไม่ต้องกังวลใจ สำหรับการดำเนินคดีกับหน่วยงานที่เกี่ยวข้องนั้นมีการดำเนินการเอาผิด 4 มูลฐานความผิด ได้แก่
1.การนำปฏิกูลหรือวัตถุที่ไม่ใช้แล้วออกนอกโรงงานโดยไม่ได้รับอนุญาต ตาม พ.ร.บ. โรงงาน พ.ศ. 2535
2. แจ้งความอันเป็นเท็จต่อเจ้าพนักงานซึ่งอาจทำให้ผู้อื่นหรือประชาชนเสียหาย ตามประมวลกฎหมายอาญา มาตรา 137
3. มีไว้ในครอบครองซึ่งวัตถุอันตรายโดยไม่ได้รับอนุญาตของผู้ครอบครองตาม พ.ร.บ.วัตถุอันตราย พ.ศ.2535
4. การนำเข้าสู่ระบบคอมพิวเตอร์ฯ ตาม พ.ร.บ.คอมพิวเตอร์ พ.ศ. 2560
ทั้งนี้ ในการดำเนินคดีต่อเจ้าหน้าที่รัฐ กรมสอบสวนคดีพิเศษ (DSI) สำนักงานคณะกรรมการป้องกันและปราบปรามการฟอกเงิน (ปปง.) และสำนักงานคณะกรรมการป้องกันและปราบปรามการทุจริตในภาครัฐ (ปปท.) ได้ดำเนินการรวบรวมพยานหลักฐานและสอบปากคำผู้ที่มีส่วนเกี่ยวข้องก่อนส่งสำนวนเข้าสู่การพิจารณาในชั้นของคณะกรรมการป้องกันและปราบปรามการทุจริตแห่งชาติ (ป.ป.ช.) ซึ่งการดำเนินคดีจะดำเนินการในสองส่วนคือ ส่วนของกลุ่มผู้กระทำกระความผิด และทรัพย์สินที่เกี่ยวข้องกับการกระทำความผิด ดังนั้นจึงจำเป็นต้องดำเนินการด้วยความรอบคอบ นอกจากนี้ คณะกมธ. ได้พิจารณาเกี่ยวกับการลักลอบทิ้งสารเคมีที่เข้าข่ายเป็นวัตถุอันตรายในพื้นที่ อ.ภาซี จ.พระนครศรีอยุธยา ที่มีการเกิดเพลิงไหม้ในโกงดังพื้นที่ขนาด 8 ไร่ ซึ่งเป็นการเกิดเพลิงไหม้ครั้งที่ 2 โดยมีการสันนิษฐานว่ามีการลักลอบวางเพลิงวัตถุพยานของกลางที่เจ้าหน้าที่ได้อายัดไว้ แม้จะมีการจัดเวรยามเฝ้าระวังแล้ว แต่พบช่องว่างที่สำคัญคือ กำแพงที่ถูกทุบเพื่อเข้าไปดับเพลิงครั้งที่หนึ่ง ส่งผลให้คนร้ายสามารถลักลอบเข้าไปวางเพลิงได้ อย่างไรก็ตามเจ้าหน้าที่ตำรวจท้องถิ่น และเจ้าหน้าที่ที่เกี่ยวข้อง พยายามที่จะรวบรวมพยานหลักฐาน และได้แจ้งความดำเนินคดีเป็นที่เรียบร้อยแล้ว