ประธานคณะ กมธ.ความมั่นคงแห่งรัฐ กิจการชายแดนไทย ยุทธศาสตร์ชาติและการปฏิรูปประเทศ พร้อมด้วย รองประธานคณะ กมธ.การต่างประเทศ คนที่หนึ่ง และรองประธานคณะ กมธ.การกฎหมาย การยุติธรรมและสิทธิมนุษยชน คนที่สาม ร่วมกันรับยื่นจดหมายเปิดผนึกถึงนายกรัฐมนตรีเรื่องขอเรียกร้องให้รัฐบาลยุติการกักตัวผู้ลี้ภัยชาวอุยกูร์ที่อยู่ในห้องกักของสำนักงานตรวจคนเข้าเมืองที่ยาวนานกว่า 10 ปี และหาทางออกที่ยั่งยืนโดยคำนึงถึงสิทธิมนุษยชน จากตัวแทนเครือข่ายสิทธิผู้ลี้ภัยและคนไร้รัฐเครือข่ายองค์กรด้านประชากรข้ามชาติ
วันพฤหัสบดีที่ 14 มีนาคม 2567 เวลา 09.00 นาฬิกา ณ จุดรับยื่นหนังสือ ชั้น 1 (โซนกลาง) อาคารรัฐสภา นายรังสิมันต์ โรม ประธานคณะ กมธ.ความมั่นคงแห่งรัฐ กิจการชายแดนไทย ยุทธศาสตร์ชาติและการปฏิรูปประเทศ พร้อมด้วย นายจุลพงศ์ อยู่เกษ รองประธานคณะ กมธ.การต่างประเทศ คนที่หนึ่ง และนายกัณวีร์ สืบแสง รองประธานคณะ กมธ.การกฎหมาย การยุติธรรมและสิทธิมนุษยชน คนที่สาม ร่วมกันรับยื่นจดหมายเปิดผนึกถึงนายกรัฐมนตรีเรื่องขอเรียกร้องให้รัฐบาลยุติการกักตัวผู้ลี้ภัยชาวอุยกูร์ที่อยู่ในห้องกักของสำนักงานตรวจคนเข้าเมืองที่ยาวนานกว่า 10 ปี และหาทางออกที่ยั่งยืนโดยคำนึงถึงสิทธิมนุษยชน จากตัวแทนเครือข่ายสิทธิผู้ลี้ภัยและคนไร้รัฐเครือข่ายองค์กรด้านประชากรข้ามชาติ เพื่อขอเรียกร้องให้รัฐบาลภายใต้การกำกับของนายเศรษฐา ทวีสิน นายกรัฐมนตรี ยุติการกระทำที่ละเมิดสิทธิมนุษยชนอย่างรุนแรง ต่อกรณีผู้ลี้ภัยชาวอุยกูร์ที่ถูกกักขังอยู่ในห้องกักของสำนักงานตรวจคนเข้าเมืองเป็นเวลา 10 ปี และหาทางออกที่ยั่งยืนต่อกรณีดังกล่าวอย่างเร่งด่วนที่สุด เพื่อส่งเสริมการเพิ่มศักดิ์ศรีความเป็นมนุษย์ตามหลักการสากลในสถานการณ์มนุษยธรรมนี้
ทั้งนี้ เมื่อปี 2556 ทางการไทยได้พบชาวอุยกูร์ประมาณ 350 คน ซึ่งในจำนวนนี้มีผู้หญิงและเด็กด้วย โดยคนกลุ่มนี้หนีการถูกประหัตประหารมาจากสาธารณรัฐประชาชนจีน เดินทางมาในประเทศไทยเพื่อเป็นทางผ่านในการลี้ภัยไปยังประเทศที่สาม และไม่ได้ประสงค์จะอยู่อาศัยในประเทศไทยระยะยาว หลังจากที่ได้มีการดำเนินคดีเข้าเมืองโดยผิดกฎหมาย ทางการไทยได้จำแนกชาวอุยกูร์กลุ่มนี้เป็น 3 กลุ่ม ได้แก่
1) กลุ่มแรก เฉพาะผู้หญิงและเด็ก 172 คน กลุ่มนี้ได้แสดงความประสงค์ที่จะเดินทางไปประเทศตุรกีและรัฐบาลตุรกีพร้อมที่จะรับ จนกระทั่งเมื่อวันที่ 29 มิ.ย. 58 รัฐบาลไทยได้ตัดสินใจส่งชาวอุยกูร์กลุ่มนี้ ซึ่งมีเฉพาะผู้หญิงและเด็กให้กับรัฐบาลตุรกี และปัจจุบันได้มีการตั้งถิ่นฐานใหม่ในประเทศตุรกีเรียบร้อยแล้ว
2) กลุ่มที่สอง เป็นกลุ่มที่รัฐบาลไทยได้ส่งให้สาธารณรัฐประชาชนจีน 109 คน เมื่อวันที่ 9 ก.ค. 58 โดยทั้งหมดนี้ไม่ทราบชะตากรรม
3) กลุ่มที่สาม คือกลุ่มที่คงค้างในห้องกักของสำนักงานตรวจคนเข้าเมือง จำนวนประมาณ 48 คนที่ยังอยู่ในความดูแลของไทย รัฐบาลไทยได้ดำเนินการตามพระราชบัญญัติคนเข้าเมือง พ.ศ. 2522 ให้กักตัวไว้ในห้องกักคนต่างด้าวของสำนักงานตรวจคนเข้าเมืองโดยไม่มีกำหนดและอ้างว่ากำลังรอการแก้ไขปัญหาต่อไป ปัจจุบันกลุ่มที่สามได้ถูกกักเป็นเวลา 10 ปีแล้วในห้องกักมีสภาพแออัด เข้าถึงแสงธรรมชาติได้น้อย ไม่มีพื้นที่ส่วนตัวไม่สามารถติดต่อครอบครัวภายนอกได้ ทำให้ผู้ต้องกักมีภาวะขาดสารอาหาร ขาดการดูแลสุขภาพที่เหมาะสม ขาดการออกกำลังกาย เป็นสภาพแวดล้อมที่ก่อให้เกิดปัญหาสุขภาพกายและจิตที่รุนแรงได้ในปี 2566 มีชาวอุยกูร์ซึ่งอยู่ในห้องกักของสำนักงานตรวจคนเข้าเมืองเสียชีวิต 2 คน โดยคนแรกเสียชีวิตเมื่อวันที่ 11 ก.พ. 66 ผู้เสียชีวิตอายุ 49 ปี มีอาการเจ็บป่วยในห้องกักก่อนที่จะถูกนำส่งโรงพยาบาลและเสียชีวิตในวันเดียวกันอันเนื่องมาจากปอดอักเสบจากการติดเชื้อ ส่วนรายที่สองเสียชีวิตเมื่อวันที่ 21 เม.ย. 66 ผู้เสียชีวิตอายุ 40 ปี มีอาการป่วย อาเจียน และอ่อนแรง ถูกนำส่งโรงพยาบาลและเสียชีวิตในวันเดียวกันเช่นกัน โดยเจ้าหน้าที่แจ้งว่าสาเหตุการเสียชีวิตเกิดจากระบบไหลเวียนโลหิตและการหายใจล้มเหลว แม้ว่าการตรวจสอบกรณีเสียชีวิตทั้งสองข้างต้นของคณะกรรมการสิทธิมนุษยชนแห่งชาติ (กสม.) จะไม่ปรากฏพยานหลักฐานที่จะรับฟังได้ว่าการเสียชีวิตทั้งสองกรณีเกิดขึ้นจากการกระทำหรือละเลยการกระทำอันเป็นการละเมิดสิทธิมนุษยชน แต่อย่างไรก็ตามกสม.ได้ให้ความเห็นว่าการควบคุมตัวผู้ลี้ภัยชาวอุยกูร์ไว้ที่สำนักงานตรวจคนเข้าเมืองเป็นเวลานานไม่มีกำหนดปล่อยตัว หรือส่งตัวออกนอกราชอาณาจักรตามกฎหมายว่าด้วยคนเข้าเมือง เป็นการกระทำหรือละเลยการกระทำอันละเมิดสิทธิมนุษยชน จึงขอเรียกร้องให้ นายเศรษฐา ทวีสิน ซึ่งเป็นผู้นำรัฐบาล และหน่วยงานที่เกี่ยวข้อง พิจารณายุติการกักขังชาวอุยกูร์โดยไม่มีกำหนดในสภาพการกักขังที่ละเมิดสิทธิมนุษยชนและให้หาแนวทางการแก้ไขปัญหาที่ยั่งยืนให้กับผู้ลี้ภัยชาวอุยกูร์กลุ่มนี้ตามข้อเสนอแนะของ กสม. และขอให้แสดงจุดยืนเรื่องสิทธิมนุษยชนของประเทศไทยต่อประชาคมโลก เพื่อที่จะช่วยส่งเสริมให้ประเทศไทยได้รับการเลือกให้เป็นสมาชิกในคณะมนตรีสิทธิมนุษยชนแห่งสหประชาชาติในปีนี้ และเป็นการคืนศักดิ์ศรีความเป็นมนุษย์ให้กับผู้ลี้ภัยชาวอุยกูร์ทั้งหมดที่อยู่ในการควบคุมของรัฐบาลไทย
และขอให้ทั้ง 3 คณะ กมธ. ร่วมกันผลักดันประเด็นดังกล่าวและประสานงานไปยังรัฐบาลให้ช่วยพิจารณาต่อไป
นายรังสิมันต์ โรม กล่าวว่า เรื่องนี้เป็นเรื่องที่ กมธ. ให้ความสำคัญ และได้เคยมีการพูดคุยถึงความเป็นอยู่ของชาวอุยกูร์ที่อยู่ในห้องขัง ซึ่งมีสภาพความเป็นอยู่ที่แย่ ในสภาชุดที่แล้วที่ตนทำหน้าที่ในคณะ กมธ.การกฎหมายฯ เคยไปที่ห้องขังและเห็นสภาพความเป็นอยู่ความยากลำบากแล้ว และเราไม่รู้ว่ากลุ่มคนเหล่านี้จะต้องอยู่ในห้องกักถึงเมื่อไร ซึ่งไม่ต่างกับการที่ต้องอยู่ในคุกตลอดชีวิตโดยไม่มีคำพิพากษาว่ามีการกระทำความผิดอะไร ไม่มีโอกาสได้รับการลดหย่อนโทษไม่มีโอกาสได้เยี่ยม ต้องอยู่ในสถานที่ที่มีสภาพความเป็นอยู่ที่แย่ยิ่งกว่าคนที่กระทำอาชญากรรมร้ายแรง ดังนั้น ตนคิดว่าสิ่งที่เกิดขึ้นถ้าพิจารณาจากข้อกฎหมายที่มีเจ้าหน้าที่รัฐมีความสุ่มเสี่ยงต่อการปฏิบัติตาม กับพ.ร.บ.ป้องกันและปราบปรามการทรมานและการกระทำให้บุคคลสูญหาย พ.ศ. 2565 ที่สภารับหลักการไป ซึ่ง พ.ร.บ. ดังกล่าวมีหลักการในเรื่องของการปกป้องศักดิ์ศรีความเป็นมนุษย์ ที่สุดแล้วตนคิดว่าเราต้องมองไปข้างหน้าว่าจะทำอย่างไรกับคนกลุ่มนี้ จะปล่อยไปเรื่อย ๆ โดยคิดแค่ว่าอย่าพึ่งไปยุ่ง เดี๋ยวจะมีปัญหาเรื่องความสัมพันธ์ระหว่างประเทศ สุดท้ายคนเหล่านี้ก็จะทยอยเสียชีวิตไป หากในวันนี้ประเทศไทยจะเป็นบอร์ดสิทธิมนุษยชนในเวทีระดับโลก แต่ยังไม่สามรถจัดการปัญหานี้ได้ การเป็นบอร์ดในเวทีโลกก็จะไม่อาจเกิดขึ้นได้ มากไปกว่านั้นที่ต้องคิดต่อในประเด็นความเป็นมนุษย์ต่อมนุษย์ ประเทศไทยเป็นเมืองพุทธให้ความสำคัญกับศีลธรรม แต่วันนี้เรากำลังกักขังคนที่ไม่มีความผิดตลอดชีวิต เรื่องนี้มีประเด็นความสัมพันธ์ระหว่างประเทศเข้ามาเกี่ยวข้อง แต่ประเทศไทยกับประเทศต่าง ๆ มีผลประโยชน์ร่วมกันด้านอื่น ๆ เยอะมาก ถ้าเฉพาะเรื่องนี้จะทำให้ความสัมพันธ์ขาดสะบั้นคงเป็นไปไม่ได้ ถึงที่สุดแล้วประเทศไทยต้องวางหลักการที่สำคัญว่าเป็นประเทศที่เคารพต่อสิทธิมนุษยชน และเคารพกฎหมายในประเทศคือ พ.ร.บ. อุ้มหาย ดังนั้น ไม่ว่าจะอย่างไรประเทศที่มีความสัมพันธ์ที่ดีกับประเทศไทยต้องเคารพกฎหมายและหลักการสำคัญที่ประเทศไทยให้คุณค่า เรื่องนี้เป็นเรื่องที่มีความสำคัญและต้องหาทางออกให้ได้
ด้าน นายจุลพงษ์ กล่าวเพิ่มเติมว่า จะนำเรื่องนี้เข้าที่ประชุมคณะ กมธ. การต่างประเทศ ประเด็นเรื่องสิทธิมนุษยชนเป็นเรื่องที่สำคัญมาก เพราะเป็นเรื่องระหว่างมนุษย์ต่อมนุษย์ที่จะปฏิบัติต่อกัน
จากนั้น นายกัณวีร์ กล่าวขอบคุณภาคประชาสังคมที่ให้ความสำคัญกับความเป็นมนุษย์ เมื่อ 10 ปีที่ผ่านมาตนได้เห็นกลุ่มชาวอุยกูร์ที่สงขลา แต่ปัจจุบันพี่น้องชาวอุยกูร์ยังถูกกักอยู่โดยไม่มีการเปลี่ยนแปลงขณะที่ชีวิตของพวกเราเปลี่ยนแปลงไป ตรงนี้เป็นสุญญากาศทางกฎหมายที่ไม่มีการรองรับเกี่ยวกับผู้ลี้ภัย กมธ.การกฎหมายฯ จะพิจารณาศึกษาแก้ไขปัญหาแบบยั่งยืนในเรื่องเกี่ยวกับกฎหมายว่ามีช่องว่างตรงไหนบ้าง จะแก้ไขตรงไหนบ้าง และจะผลักดันเรื่องนี้ร่วมกับทั้ง 2 กมธ. ต่อไป