ประธานคณะ กมธ.การต่างประเทศ และ น.ส.จิรัชยา สัพโส โฆษกคณะ กมธ. แถลงข่าวผลการประชุมคณะ กมธ.
วันพฤหัสบดีที่ 1 สิงหาคม 2567 เวลา 14.00 นาฬิกา ณ ห้องแถลงข่าว ชั้น 1 อาคารรัฐสภา นายนพดล ปัทมะ ประธานคณะ กมธ.การต่างประเทศ และ น.ส.จิรัชยา สัพโส โฆษกคณะ กมธ. แถลงข่าวผลการประชุมคณะ กมธ. ที่ได้พิจารณาเรื่อง แรงงานต่างด้าว ผู้อพยพ และสถานการณ์ในเมียนมา โดยคณะ กมธ. มีความห่วงใยและติดตามปัญหาการสู้รบในเมียนมา ผลกระทบต่อแรงงานข้ามชาติ และคนอพยพย้ายถิ่นมายังประเทศไทยเพิ่มมากขึ้น ซึ่งคณะ กมธ.
ได้พิจารณาศึกษาเรื่องดังกล่าวมาโดยตลอด และได้จัดทำรายงานผลการศึกษาเพื่อมีข้อสังเกตและข้อเสนอแนะไปยังรัฐบาลและหน่วยงานที่เกี่ยวข้อง ดังนี้
1. สถานการณ์ในเมียนมา โดยคณะ กมธ. ได้ติดตามสถานการณ์สู้รบซึ่งยังไม่ยุติ และขอย้ำข้อเสนอในการสร้างสันติภาพและเอกภาพในเมียนมาอย่างยังยืนและเร่งด่วน ซึ่งไทยควรเป็นผู้นำร่วมกับอาเซียน จีน และอินเดียในการขับเคลื่อนกระบวนการสันติภาพในเมียนมา
2. ประเด็นแรงงานเมียนมา โดยภายหลังการรับฟังข้อมูลจากภาคเอกชน เอ็นจีโอ และหน่วยงานภาครัฐ กมธ. จึงรวบรวมข้อเรียกร้องจากภาคส่วนดังกล่าว และหากสามารถดำเนินการได้ตามกฎหมายก็ขอให้รัฐบาลและหน่วยงานภาครัฐต่าง ๆ พิจารณาภายใต้กรอบของกฎหมาย ดังนี้
2.1 กลุ่มที่เข้ามืองแบบไม่ถูกต้องหรือการอยู่อาศัยสิ้นสุดลง โดยผ่อนผันให้จดทะเบียนเพื่อขออนุญาตให้อยู่และทำงานในประเทศไทยชั่วคราว 2 ปี ผ่านศูนย์บริการแบบเบ็ดเสร็จ ยกเว้นเงื่อนไขเรื่องการมีหนังสือเดินทางและตรวจลงตราวีซ่าชั่วคราว 2 ปี
2.2 กลุ่มแรงงานตามมติคณะรัฐมนตรีที่ใบอนุญาตจะหมดอายุลงในวันที่ 13 ก.พ. 68 ซึ่งมีแรงงานสัญชาติเมียนมามากถึง 2,026,833 คน โดยเสนอให้รัฐบาลและกระทรวงแรงงานให้แรงงานต่างด้าวเหล่านี้ดำเนินการปรับสถานะให้เป็นแรงงานนำเข้าตามระบบ MOU โดยสามารถใช้บัตรสีชมพูเป็นหลักฐานยื่นขอต่อใบอนุญาตทำงานได้
2.3 กลุ่ม MOU ครบ 4 ปี โดยผ่อนผันขออยู่ต่อและต่อใบอนุญาตทำงานในประเทศไทยอีก 2 ปี โดยไม่ต้องเดินทางกลับไปประเทศตน ให้ใช้หลักฐานหนังสือเดินทางเดิม และใบอนุญาตทำงานเดิมมาเป็นหลักฐานในการแสดงเพื่อขอต่ออายุในประเทศไทย ยกเว้นเงื่อนไขเรื่องการมีหนังสือเดินทางและการตรวจลงตราวีซ่าชั่วคราว 2 ปี
2.4 กลุ่มจ้างงานชายแดน โดยให้นายจ้างและแรงงานข้ามชาติที่จ้างงานพื้นที่ชายแดนไทย - เมียนมา มารายงานตัวและจัดทำทะเบียนประวัติที่ศูนย์บริการแบบเบ็ดเสร็จในพื้นที่ ผ่อนผันให้อยู่และทำงานในประเทศไทยอย่างน้อย 1 ปี และพิจารณาต่อได้ครั้งละ 1 ปี โดยในกรณีที่เคยมีบัตรผ่านแดนและใบอนุญาตทำงานมาก่อนให้นำมาเป็นหลักฐานด้วย ซึ่ง กมธ. ได้เน้นย้ำว่า การดำเนินการตามที่เสนอนั้น พึงคำนึงถึงประโยชน์ด้านเศรษฐกิจ ความมั่นคง และต้องดำเนินการเท่าที่สามารถกระทำได้ตามกฎหมายและระเบียบอย่างครบถ้วน
3. มาตรการการช่วยเหลือด้านมนุษธธรรมต่อประชาชนในเมียนมา โดย กมธ. ขอเรียกร้องให้รัฐบาลไทยและอาเซียน เพิ่มการช่วยเหลือทางมนุษธรรมชาวเมียนมา และกลุ่มชาติพันธุ์ที่ได้รับผลกระทบจากการสู้รบให้มากขึ้น โดยใช้กลไกคณะกรรมการเฉพาะกิจบริหารสถานการณ์อันเนื่องมาจากความไม่สงบในเมียนมา เพื่อให้การช่วยเหลือถึงมือประชาชนทุกกลุ่มอย่างทั่วถึงและเท่าเทียม นอกจากนี้ ควรเพิ่มบทบาทองค์กรเอกชนและเครือข่ายประชาชนในพื้นที่ รวมทั้งควรเปิดรับการช่วยเหลือด้านมนุษยธรรมจากทุกภาคส่วนไปยังผู้ได้รับผลกระทบโดยเร็ว