คณะผู้แทนรัฐสภาไทย เข้าร่วมการสัมมนาระหว่างภูมิภาคว่าด้วย SDGs ณ สาธารณรัฐประชาชนจีน
คณะผู้แทนรัฐสภาไทย เข้าร่วมการสัมมนาระหว่างภูมิภาคว่าด้วย SDGs ณ สาธารณรัฐประชาชนจีน
เมื่อวันที่ 19 - 27 สิงหาคม 2567 คณะผู้แทนรัฐสภาไทย นำโดย นายพูนศักดิ์ จันทร์จำปี สมาชิกสภาผู้แทนราษฎร ในฐานะหัวหน้าคณะผู้แทนรัฐสภาไทย พร้อมด้วยนางสาวสกุณา สาระนันท์ สมาชิกสภาผู้แทนราษฎร ในฐานะผู้แทนรัฐสภาไทยฯ และเจ้าหน้าที่ฝ่ายเลขานุการคณะผู้แทนรัฐสภาไทยฯ เข้าร่วมการสัมมนาระหว่างภูมิภาคว่าด้วยการบรรลุเป้าหมายการพัฒนาที่ยั่งยืนสำหรับรัฐสภาประเทศกำลังพัฒนา ประจำปี 2567 (2024 Inter-regional Seminar on the Achievement of the SDGs for Parliaments of Developing Countries) ณ สาธารณรัฐประชาชนจีน ร่วมกับคณะผู้แทนรัฐสภาจากประเทศต่าง ๆ รวม 32 ประเทศ ที่ได้รับเชิญจากสภาประชาชนแห่งชาติจีน ในฐานะรัฐสภาประเทศเจ้าภาพ และสหภาพรัฐสภา (Inter-Parliamentary Union: IPU)
การสัมมนาดังกล่าวเป็นการนำเสนอภาพรวมความก้าวหน้าของเป้าหมายการพัฒนาที่ยั่งยืน (Sustainable Development Goals: SDGs) ที่จีนดำเนินการในมิติต่าง ๆ โดยผู้แทนสภาประชาชนแห่งชาติจีน รวมถึงเจ้าหน้าที่ระดับสูงของจีน อีกทั้งเป็นเวทีสำหรับสมาชิกรัฐสภา ในฐานะผู้แทนของปวงชน ในการแลกเปลี่ยนความก้าวหน้าของ SDGs ของแต่ละประเทศ ตลอดจนอภิปรายถึงประเด็นที่เกี่ยวข้องกับ SDGs ในเป้าหมายต่าง ๆ ที่ยังประสบกับความท้าทาย
ในวันอังคารที่ 20 สิงหาคม 2567 คณะผู้แทนรัฐสภาไทยฯ ได้เข้าร่วมพิธีเปิด ซึ่งเป็นการรับฟังบุคคลสำคัญของประเทศเจ้าภาพ คือ H.E. Mr. Zhao Leji ประธานสภาประชาชนแห่งชาติสาธารณรัฐประชาชนจีน (ผู้นำอาวุโสลำดับที่ 3 ของจีน) H.E. Mr. Li Hongzhong รองประธานสภาประชาชนแห่งชาติสาธารณรัฐประชาชนจีน คนที่หนึ่ง H.E. Ms. Tulia Ackson ประธานสหภาพรัฐสภาและประธานรัฐสภาแทนซาเนีย พร้อมด้วย H.E. Mr. Leo Cato ประธานสภาผู้แทนราษฎรเกรเนดา H.E. Mr. Faisal El-Fayez ประธานวุฒิสภาจอร์แดนH.E. Ms. Catherine Gotani Hara ประธานรัฐสภามาลาวี และ Mr. Martin Chungong เลขาธิการสหภาพรัฐสภา ทั้งนี้ ได้มีการลงนามในข้อตกลงการบริจาคเงินสมทบจากสภาประชาชนแห่งชาติจีน ให้แก่สหภาพรัฐสภา ในโอกาสการเฉลิมฉลองครบรอบ 40 ปี สมาชิกภาพของสาธารณรัฐประชาชนจีนในสหภาพรัฐสภา
อนึ่ง ในช่วงบ่ายของวันเดียวกันนี้ ประธานาธิบดีสี จิ้นผิง ได้ให้เกียรติพบปะกลุ่มผู้นำรัฐสภาจากประเทศต่าง ๆ ที่เข้าร่วมพิธีฉลองครบรอบ 40 ปี แห่งการเข้าร่วมเป็นสมาชิกสหภาพรัฐสภา (IPU) ของสภาประชาชนแห่งชาติจีน (NPC) และการสัมมนาระหว่างภูมิภาคว่าด้วยการบรรลุเป้าหมายการพัฒนาที่ยั่งยืนสำหรับรัฐสภาประเทศกำลังพัฒนา ประจำปี 2567 ณ มหาศาลาประชาชน กรุงปักกิ่ง ประธานาธิบดีสี จิ้นผิง ได้กล่าวต้อนรับการมาเยือนจีนของประธานรัฐสภา/ประธานสภาจากมิตรประเทศ พร้อมกล่าวว่า “พวกเราทุกคนเป็นสมาชิกของกลุ่มประเทศกำลังพัฒนา” แม้จะมีสถานะที่แตกต่างกัน แต่จีนและประเทศต่าง ๆ ล้วนเป็นพี่น้อง และหุ้นส่วนที่มีวิสัยทัศน์ร่วมกัน จีนพร้อมที่จะทำงานร่วมกับประเทศอื่น ๆ เพื่อสนับสนุนโลกที่มีหลายขั้วอำนาจอย่างเท่าเทียมและเป็นระเบียบเรียบร้อย ตลอดจนโลกาภิวัตน์ทางเศรษฐกิจที่เป็นประโยชน์และครอบคลุมทั่วโลก ส่งเสริมการสร้างชุมชนที่มีอนาคตร่วมกันสำหรับมนุษยชาติ และสร้างโลกที่เราอาศัยอยู่ให้เป็นครอบครัวที่กลมเกลียว
จากนั้นเข้าสู่กำหนดการการสัมมนาฯ ในวันแรก (วันพุธที่ 21 สิงหาคม 2567) แบ่งเป็น 4 หัวข้อ ดังนี้
(1) การร่วมรักษาสันติภาพและความมั่นคงเพื่อการพัฒนาและความเจริญรุ่งเรืองร่วมกัน (Jointly upholding peace and stability for common development and prosperity)
(2) การประสานยุทธศาสตร์การพัฒนาเพื่อโลกาภิวัตน์ทางเศรษฐกิจที่เป็นประโยชน์และครอบคลุมทั่วโลก (Synergizing development strategies for a universally beneficial and inclusive economic globalization)
ในการนี้ นายพูนศักดิ์ จันทร์จำปี หัวหน้าคณะผู้แทนรัฐสภาไทย ร่วมกล่าวอภิปรายในหัวข้อที่ (2) นี้โดยได้กล่าวแสดงความยินดีกับสภาประชาชนแห่งชาติอีกครั้งในวาระครบรอบ 40 ปีของการเป็นสมาชิกภาพสหภาพรัฐสภา และขอใช้โอกาสนี้แสดงความขอบคุณอย่างจริงใจต่อสภาประชาชนแห่งชาติจีนสำหรับการจัดเวทีอันทรงคุณค่านี้เพื่อแลกเปลี่ยนประสบการณ์และแนวทางปฏิบัติที่ดีในการปฏิบัติตามเป้าหมายการพัฒนาอย่างยั่งยืนในกลุ่มประเทศกำลังพัฒนา จากนั้น ได้กล่าวว่ายุทธศาสตร์การพัฒนาที่มีประสิทธิผลควรเริ่มจากสิ่งที่จำเป็นพื้นฐานซึ่งก็คือสิทธิมนุษยชน ในเรื่องนี้ ประเทศต่างๆ จะต้องประกันว่าปัจจัยการดำรงชีพพื้นฐาน เช่น ไฟฟ้า น้ำดื่มที่ถูกสุขอนามัย อาหารสะอาด การศึกษา และความเท่าเทียมทางกฎหมายนั้นพร้อมอยู่แล้ว ดังนั้น ควรส่งเสริมการบูรณาการเป้าหมายการพัฒนาอย่างยั่งยืนและแผนปฏิบัติการด้านสภาพภูมิอากาศ
ประเทศไทย ยังมุ่งเน้นที่การพัฒนาแนวทางที่ครอบคลุมทั้งสังคม ซึ่งเพิ่มมูลค่าให้กับเศรษฐกิจที่ขับเคลื่อนด้วยความหลากหลายทางชีวภาพ วิทยาศาสตร์ เทคโนโลยี และนวัตกรรม ผ่านการใช้ทรัพยากรหมุนเวียนให้เกิดประโยชน์สูงสุดและส่งเสริมการดำรงชีวิตที่ยั่งยืน เนื่องจากการปล่อยคาร์บอนในประเทศไทยไม่สามารถเทียบได้กับประเทศตะวันตก ดังนั้น ประเทศไทยจึงควรเน้นที่การปรับตัวต่อสภาพภูมิอากาศมากกว่าการบรรเทาผลกระทบจากสภาพภูมิอากาศ ระดับน้ำทะเลที่สูงขึ้น ผลกระทบจากการเปลี่ยนแปลงสภาพภูมิอากาศจากฤดูกาล น้ำท่วม อุณหภูมิที่เพิ่มขึ้น อาจส่งผลต่อระบบการเกษตร ความยากจน และเศรษฐกิจในที่สุดรัฐสภาสามารถมีบทบาทสำคัญในการเอาชนะอุปสรรคต่าง ๆ และปรับปรุงสภาพแวดล้อมที่เอื้ออำนวยเพื่อสนับสนุนการดำเนินการด้านสภาพภูมิอากาศ เช่น การขยายขีดความสามารถของโครงสร้างพื้นฐานสีเขียวที่จำเป็นสำหรับการปฏิรูปสถาบัน การเงิน และนโยบายที่เกี่ยวข้องกับสภาพภูมิอากาศ สมาชิกรัฐสภาสามารถมีส่วนสนับสนุนได้มากขึ้นผ่านภารกิจของรัฐสภาโดยรับรองการมีส่วนร่วมของหลายภาคส่วนอย่างเป็นระบบกับผู้มีส่วนได้ส่วนเสียในวงกว้างในภาคส่วนพลังงาน น้ำ การขนส่ง อุตสาหกรรม และการจัดการขยะ
แบบจำลองเศรษฐกิจ Bio-Circular-Green หรือ BCG ได้กลายเป็นยุทธศาสตร์การพัฒนาทางเลือกของประเทศไทย ซึ่งสามารถนำไปประยุกต์ใช้ในหลายภาคส่วน เช่น การเกษตรอัจฉริยะ ชีวเภสัช พลังงานชีวภาพ และการท่องเที่ยวอย่างยั่งยืน แทนที่จะเป็นเศรษฐกิจเชิงเส้นที่เราใช้ทรัพยากรและกำจัดทิ้งเมื่อกลายเป็นขยะ เศรษฐกิจแบบหมุนเวียนจะถูกนำมาใช้เพื่อหมุนเวียนขยะให้เป็นวัสดุรองสำหรับการผลิตขั้นต้น ในแง่นี้ เศรษฐกิจจะแข็งแกร่งขึ้นผ่านการเพิ่มการจ้างงานและลดการใช้ทรัพยากร รวมถึงลดงบประมาณสำหรับการบรรเทาและแก้ไขผลกระทบต่อสิ่งแวดล้อม และทิ้งท้ายว่า สมาชิกรัฐสภาและผู้มีส่วนได้ส่วนเสียที่เกี่ยวข้องทั้งหมดพึงทำงานร่วมกันเพื่อให้ความสำคัญกับการเติบโตที่ครอบคลุม เสริมสร้างความร่วมมือระหว่างประเทศ แก้ไขปัญหาความไม่เท่าเทียม ส่งเสริมความยั่งยืน ใช้ประโยชน์จากเทคโนโลยี และเสริมสร้างธรรมาภิบาลระดับโลก จากนั้น เราอาจสร้างเศรษฐกิจโลกที่เหมาะกับทุกคนได้ เราต้องเห็นคุณค่าของโอกาสในการเปลี่ยนแปลงประเทศของเราให้เติบโตอย่างสมดุลและยั่งยืน ถึงเวลาแล้วที่เราทุกคนจะต้องเปลี่ยนทัศนคติและพฤติกรรมของเราเกี่ยวกับการผลิตและการบริโภคเพื่อให้ยั่งยืนมากขึ้น ซึ่งต้องอาศัยความร่วมมือที่กระตือรือร้นและสร้างสรรค์จากผู้มีส่วนได้ส่วนเสียทั้งหมด นี่ไม่เพียงแต่เป็นสิ่งจำเป็นทางศีลธรรมเท่านั้น แต่ยังมีความจำเป็นในทางปฏิบัติในโลกที่ประเทศต่างๆ ทั้งหมดควรมุ่งมั่นที่จะทำงานร่วมกันข้ามพรมแดนและข้ามภาคส่วน เพื่อสร้างเศรษฐกิจโลกที่เท่าเทียมและเจริญรุ่งเรืองมากขึ้นสำหรับคนรุ่นปัจจุบันและอนาคต
(3) การเคารพความหลากหลายของอารยธรรมและส่งเสริมการแลกเปลี่ยนทางวัฒนธรรมและการเรียนรู้ร่วมกัน (Respecting diversity of civilizations and promoting cultural exchanges and mutual learning) โดยนางสาวสกุณา สาระนันท์ ผู้แทนรัฐสภาไทย ได้ร่วมกล่าวอภิปรายในหัวข้อที่ (3) ว่า เมื่อโลกของเรามีความเชื่อมโยงกันมากขึ้น ความหลากหลายทางวัฒนธรรมก็นำมาซึ่งทั้งความท้าทายและโอกาสในการเติบโตและความเข้าใจ ในประเทศไทยเราเฉลิมฉลองการผสมผสานอันล้ำค่าของวัฒนธรรม ภาษา และประเพณี ด้วยชุมชนชาติพันธุ์ 62 ชุมชนซึ่งคิดเป็นประมาณร้อยละ 10 ของประชากรทั้งหมด ความหลากหลายอันมีชีวิตชีวานี้ทำให้ประเทศของเราแข็งแกร่งขึ้นและเพิ่มความสามารถในการปรับตัวของเราในโลกที่เปลี่ยนแปลงอย่างรวดเร็วในปัจจุบัน ภายใต้การจัดการที่เหมาะสม มรดกทางวัฒนธรรมนี้สามารถมีส่วนสนับสนุนอย่างมากในการบรรลุความยั่งยืนในด้านเศรษฐกิจ สังคม และสิ่งแวดล้อมการพัฒนาอย่างยั่งยืนนั้นขึ้นอยู่กับการรวมกลุ่มทางสังคมและความหลากหลายทางวัฒนธรรม ส่งเสริมนวัตกรรม การสานเสวนา และความสามัคคีของชุมชน ซึ่งมีความสำคัญต่อความเท่าเทียมทางเศรษฐกิจ รัฐธรรมนูญของประเทศไทยได้ประกันสิทธิของกลุ่มชาติพันธุ์ โดยรับรองว่าอัตลักษณ์ทางวัฒนธรรมที่หลากหลายจะได้รับการอนุรักษ์และแสดงออกอย่างเสรี นอกจากนี้ ตั้งแต่ปี 2562 รัฐสภาไทยก็มีผู้แทนราษฎรจากกลุ่มชาติพันธุ์ต่าง ๆ ได้รับเลือกเข้าสู่รัฐสภาเป็นครั้งแรกความมุ่งมั่นของเราต่อหลักการเหล่านี้ยังแสดงให้เห็นผ่านความร่วมมือกับ UNESCO ในการจัดการมรดกทางวัฒนธรรมอย่างยั่งยืน ซึ่งรวมถึงการผสมผสานมรดกทางวัฒนธรรมและแนวทางปฏิบัติในท้องถิ่นเข้ากับการปกครองสมัยใหม่ เช่น การใช้ความรู้พื้นเมืองเกี่ยวกับเกษตรนิเวศวิทยาเพื่อสนับสนุนความมั่นคงทางอาหารและยาแผนโบราณเพื่อสุขภาพ เราเชื่อว่าการเคารพวัฒนธรรมอื่นนั้นไม่ใช่แค่การยอมรับตามกฎหมายเท่านั้น แต่ยังรวมถึงการชื่นชมและโอบรับเอกลักษณ์เฉพาะของพวกเขาอย่างแท้จริง ในประเทศไทย เราตั้งเป้าที่จะสร้างสภาพแวดล้อมที่เฉลิมฉลองความแตกต่าง อุตสาหกรรมบันเทิงของเรามีภาพยนตร์อย่าง How To Make Millions Before Grandma Dies หรือ “หลานม่า”ที่เล่าเรื่องราวของครอบครัวไทยเชื้อสายจีนซึ่งประสบความสำเร็จทั่วโลก ตัวอย่างเหล่านี้แสดงให้เห็นถึงความสามารถของเราในการประสานประเพณีเข้ากับอิทธิพลระดับโลกในขณะที่ยังคงยึดมั่นในเอกลักษณ์ทางวัฒนธรรมของเราการเรียนรู้และการแลกเปลี่ยนในลักษณะนี้ช่วยเสริมสร้างความเชื่อมโยงทั้งภายในประเทศและกับชุมชนโลก ด้วยการยึดมั่นในความหลากหลายเป็นหลักการสำคัญ ประเทศไทยจึงภูมิใจที่ได้มีส่วนสนับสนุนให้เกิดความเข้าใจและความก้าวหน้าในระดับโลก เรามุ่งมั่นที่จะทำให้ความหลากหลายไม่ใช่แค่แนวคิด แต่เป็นประสบการณ์ชีวิตที่เสริมสร้างสังคมของเราและเสริมสร้างบทบาทของเราบนเวทีโลก ส่งเสริมโลกที่ทุกคนมีคุณค่าและรวมเข้าด้วยกัน และ (4) การพัฒนาประชาธิปไตยที่เหมาะสมกับสถานะของประเทศเพื่อสนับสนุนการปรับปรุงให้ทันสมัย (Developing democracy suited to national conditions to provide strong underpinning for modernization) อนึ่ง คณะผู้แทนรัฐสภาไทยฯ พร้อมด้วยผู้เข้าร่วมการสัมมนาฯ ทั้งหมด มีกำหนดเข้าร่วมกิจกรรมศึกษาดูงาน ระหว่างวันที่ 22-27 สิงหาคม 2567 ณ มณฑลชานซีและนครเทียนจิน ซึ่งจะเป็นการนำเสนออย่างเป็นรูปธรรมเกี่ยวกับความก้าวหน้าการดำเนินการทั้งหมดของจีนเพื่อบรรลุ SDGs รวมถึงการสะท้อนผลลัพธ์ตามนโยบายต่าง ๆ ของจีน ที่ได้นำเสนอตลอดห้วงของการสัมมนาฯ
เครดิต : ภาพและข่าวโดยกลุ่มงานสหภาพรัฐสภา สำนักองค์การรัฐสภาระหว่างประเทศ สำนักงานเลขาธิการสภาผู้แทนราษฎร