สหภาพยุโรป
หมวดเศรษฐกิจ
ข่าวประจำวันที่ ๒๖ พฤษภาคม ๒๕๖๗
คณะมนตรีแห่งสหภาพยุโรปได้ให้ความเห็นชอบร่างกฎหมายเกี่ยวกับการตรวจสอบห่วงโซ่อุปทานด้านความยั่งยืนของสหภาพยุโรป (CSDDD) เมื่อวันศุกร์ (๒๔ พฤษภาคม ๒๕๖๗) โดยร่างกฎหมายฉบับดังกล่าวนี้ จะกำหนดหน้าที่ให้บริษัทในสหภาพยุโรปและบริษัทต่างชาติที่เข้าไปทำธุรกิจในเขตสหภาพยุโรป ดำเนินธุรกิจตามหลักสิทธิมนุษยชนและคำนึงถึงผลกระทบต่อสิ่งแวดล้อม การเห็นชอบโดยคณะมนตรีแห่งสหภาพยุโรปหมายถึงการที่ข้อบังคับร่างกฎหมายห่วงโซ่อุปทานได้ผ่านรับรองให้เป็นกฎหมายแล้ว โดยความเห็นชอบดังกล่าวเกิดขึ้นหลังจากกฎหมายนี้ถูกคัดค้านไปเมื่อเดือนกุมภาพันธ์ที่ผ่านมา
ร่างกฎหมายห่วงโซ่อุปทาน ได้รับความเห็นชอบด้วยคะแนนเสียง ๓๗๔ เสียง ในรัฐสภายุโรปและจะใช้วิธีการที่เน้นความเสี่ยงในการรับประกันความรับผิดชอบขององค์กร ซึ่งกฎหมายนี้ช่วยส่งเสริมกฎหมายอื่น อาทิ “กฎหมายสินค้าปลอดการตัดไม้ทำลายป่า กฎหมายเกี่ยวกับแร่ที่มีข้อขัดแย้ง และร่างกฎหมายห้ามสินค้าที่ผลิตจากการบังคับใช้แรงงานวางจำหน่าย” โดยได้รับแรงผลักดันที่สำคัญจากกลุ่มสิทธิมนุษยชนและสหภาพแรงงาน โดยเฉพาะอย่างยิ่งในแง่ของการละเมิดสิทธิมนุษยชน เช่น เหตุการณ์โศกนาฏกรรมจากการถล่มของอาคารรานาพลาซา
กฎหมายนี้มีผลบังคับใช้ภายใต้หลักเกณฑ์ดังนี้คือ บังคับใช้เป็นระยะเวลา ๕ ปี สำหรับบริษัทที่มีพนักงานมากกว่า ๑,๐๐๐ คน และมีรายได้มากกว่า ๔๕๐ ล้านยูโร บังคับใช้เป็นเวลา ๔ ปี สำหรับบริษัทที่มีพนักงานมากกว่า ๓,๐๐๐ คน และมีรายได้มากกว่า ๙๐๐ ล้านยูโร มี และบังคับใช้เป็นเวลา ๓ ปี สำหรับบริษัทที่มีพนักงานมากกว่า ๕,๐๐๐ คน และมีรายได้มากกว่า ๑,๕๐๐ ล้านยูโร
ร่างกฎหมายห่วงโซ่อุปทาน มีวัตถุประสงค์เพื่อให้บริษัทและบริษัทย่อยของบริษัทดังกล่าว ยึดตามแนวปฏิบัติขององค์กรที่รับผิดชอบและความร่วมมือในทางปฏิบัติอย่างยั่งยืน รวมถึงลดความเสี่ยงต่อการละเมิดสิทธิมนุษยชนและสิ่งแวดล้อมทั้งภายในและภายนอกยุโรป โดยกฎหมายนี้ใช้กับบริษัทจำกัดขนาดใหญ่ในสหภาพยุโรปและหุ้นส่วน รวมไปถึงบริษัทขนาดใหญ่ภายนอกสหภาพยุโรป โดยระบุเป้าหมายในการปกป้องพลเมือง บริษัท และประเทศกำลังพัฒนา
คณะกรรมาธิการยุโรป ระบุว่า ร่างกฎหมายห่วงโซ่อุปทานจะบังคับใช้ผ่านสองกลไก ได้แก่ การกำกับดูแลทางปกครองและความรับผิดชอบทางแพ่ง โดยได้ชี้แจงว่า ประเทศสมาชิกจะ “กำหนดหน่วยงานเพื่อกำกับดูแลและบังคับใช้กฎหมาย ซึ่งรวมถึงการออกคำสั่งห้ามและบทลงโทษมีมาตรการลงโทษที่ได้ผล พอเหมาะ และเป็นการยับยั้ง” นอกจากนี้ คณะกรรมาธิการฯ ยังระบุว่าจะจัดตั้ง “เครือข่ายยุโรปด้านการกำกับดูแล” สำหรับความรับผิดทางแพ่ง การละเลยหรือความล้มเหลวโดยเจตนาในการดำเนินการตรวจสอบความรับผิดชอบจะส่งผลให้มีการชดเชยค่าเสียหายต่อเหยื่อ
นางทีรานา ฮัสซัน (Tirana Hassan) ผู้อำนวยการบริหารฮิวแมนไรท์วอทช์กล่าวถึงร่างกฎหมายห่วงโซ่อุปทานว่า การผ่านร่างกฎหมายได้รับการยกย่องจากองค์กรสิทธิมนุษยชนหลายองค์กรรวมถึง ฮิวแมนไรตส์วอตช์ (HRW) และองค์การนิรโทษกรรมสากล
ทั้งนี้ “ข้อบังคับเรื่องการตรวจสอบความรับผิดชอบของสหภาพยุโรปเป็นการเปลี่ยนแปลงครั้งสำคัญจากความรับผิดชอบโดยสมัครใจขององค์กรไปสู่ข้อบังคับ ซึ่งบังคับใช้เพื่อป้องกันและแก้ไขการละเมิดสิทธิมนุษยชน กฎหมายที่มีความก้าวหน้านี้ถือเป็นชัยชนะครั้งใหญ่สำหรับกลุ่มสิทธิมนุษยชน สหภาพแรงงาน และเครือข่ายภาคประชาสังคมที่อยู่แถวหน้าในการต่อสู้เพื่อความรับผิดชอบของบริษัท”
นางสาวฮันนาห์ สโตรีย์ (Hannah Storey) ที่ปรึกษาด้านนโยบายธุรกิจและสิทธิมนุษยชนขององค์การนิรโทษกรรมสากลกล่าวว่า “ช่วงเวลานี้เป็นช่วงเวลาสำคัญสำหรับสิทธิมนุษยชนและความรับผิดชอบ” สหภาพยุโรปได้กำหนดมาตรฐานสำหรับความรับผิดชอบในการดำเนินธุรกิจในตลาดเดี่ยวที่ใหญ่ที่สุดในโลก”
ร่างกฎหมายห่วงโซ่อุปทาน จะมีผลบังคับใช้ใน ๒๐ วันหลังจากประกาศลงในรัฐกิจจานุเบกษาของสหภาพยุโรปแล้ว
***********************************
ที่มาของข่าว : Source: https://www.jurist.org/news/2024/05/eu-approves-directive-on-corporate-due-diligence-for-sustainability-and-human-rights/#
ผู้แปล : นางมัญชุสา ตั้งเจริญ นักวิเทศสัมพันธ์ชำนาญการ
กลุ่มงานภาษาอังกฤษ
ผู้ทาน : นายกิตติ เสรีประยูร ผู้บังคับบัญชากลุ่มงานภาษาอังกฤษ
นางสาวศิรสา ชลายนานนท์ นักวิเทศสัมพันธ์เชี่ยวชาญ
ผู้ตรวจ : นางสาวกฤษณี มาศรีจันทร์ ผู้อำนวยการสำนักภาษาต่างประเทศ