สาระสังเขป
คณะอนุกรรมาธิการปฏิรูปเศรษฐกิจระหว่างประเทศและประเด็นอื่นด้านเศรษฐกิจในคณะกรรมาธิการปฏิรูปเศรษฐกิจ การเงินและการคลัง สภาปฏิรูปแห่งชาติ ได้เดินทางไปหารือในประเด็นการเตรียมการเขตพัฒนาเศรษฐกิจชายแดนกาญจนบุรีและเมืองทวาย สาธารณรัฐแห่งสหภาพเมียนมา ระหว่างวันศุกร์ที่ ๓ ถึงวันอาทิตย์ที่ ๕ กรกฎาคม ๒๕๕๘ โดยมีรายละเอียดการหารือในประเด็น ดังนี้
๑. การประชุมร่วมกับหน่วยงานที่เกี่ยวข้องกับการพัฒนาเศรษฐกิจชายแดน
ข้อมูลเกี่ยวกับปริมาณการค้าชายแดนกาญจนบุรี - เมียนมา
จากข้อมูลการค้าชายแดนกาญจนบุรี - เมียนมา ไทยนำเข้าก๊าซธรรมชาติจากเมียนมาปีละ ๑๑๒,๖๕๖ ล้านบาท และส่งออก ณ ด่านพระเจดีย์สามองค์ และด่านพุน้ำร้อน น้ำมันดีเซล น้ำมันเบนซิน น้ำมันพืช สินค้าอุปโภค - บริโภค วัสดุก่อสร้าง ปีละ ๑,๖๕๘ ล้านบาท (ข้อมูล ณ ปี พ.ศ. ๒๕๕๗) ส่งผลให้การค้าชายแดนกาญจนบุรี - เมียนมา ไทยขาดดุลเป็นจำนวนมาก
ด้านโครงสร้างสาธารณูปโภค ตัวอำเภอเมืองจังหวัดกาญจนบุรีมีระยะทางห่างจากกรุงเทพมหานคร ๑๒๙ กิโลเมตร มีระยะทางห่างจากชายแดนอำเภอสังขละบุรี ๒๑๐ กิโลเมตร และมีระยะทางห่างจากด่านพุน้ำร้อน ๗๐ กิโลเมตร ด้านการเดินทางและขนส่ง มีเส้นทางรถไฟสามารถขนส่งสินค้าได้แต่ยังไม่สะดวก และยังไม่มีสนามบินอย่างเป็นทางการ มีเพียงสนามบินของหน่วยงานราชการ คือ สนามบินกองร้อยบินกองพลทหารราบที่ ๙ ที่มีความพร้อมในการพัฒนาเป็นสนามบินขนาดเล็กได้ในอนาคต และมีระบบขนส่งก๊าซธรรมชาติผ่านทางท่อซึ่งมีศักยภาพในการเพิ่มสถานีก๊าซตามจุดแนวท่อได้ในอนาคต
ข้อมูลจากการเข้าเยี่ยมคารวะมุขมนตรีเมืองทวาย สาธารณรัฐแห่งสหภาพเมียนมา
หลังจากรัฐบาลเมียนมาได้เปิดประเทศ ได้เปิดโอกาสให้นักลงทุนต่างชาติเข้ามาลงทุนในโครงการขนาดใหญ่ หนึ่งในโครงการลงทุน คือ “โครงการทวาย” ซึ่งเป็นโครงการการพัฒนาท่าเรือน้ำลึกและนิคมอุตสาหกรรม สามารถแบ่งเขตอุตสาหกรรมออกเป็น ๖ เขต ได้แก่ เขตที่อยู่อาศัย เขตการค้า เขตโครงสร้างพื้นฐาน เขตนิคมอุตสาหกรรม เขตถนน และเขตทางรถไฟที่สามารถเชื่อมเส้นทางเข้ามายังไทย รวมถึงเส้นทางที่สามารถส่งน้ำมันและที่ตั้งท่อก๊าซธรรมชาติจากอ่าวมะตะบันไปยังชายแดนเมียนมาได้
รัฐบาลไทยกับเมียนมาได้จัดทำบันทึกข้อตกลงความร่วมมือ (MOU) เพื่อยกระดับความร่วมมือในการพัฒนาโครงการทวาย โดยให้รัฐบาลไทยสามารถเข้ามามีบทบาทในการกำกับดูแลระหว่างรัฐต่อรัฐเพื่อสร้างความเชื่อมั่นต่อนักลงทุน
ในปี พ.ศ. ๒๕๕๓ บริษัทเอกชนไทย คือ บริษัท อิตาเลียนไทย ดีเวล๊อปเมนต์ (ITD) ได้รับสัมปทานในการพัฒนาโครงการ ในนามบริษัท ทวาย ดีเวล๊อปเมนต์ จำกัด เพื่อดำเนินการก่อสร้างท่าเรือน้ำลึกและนิคมอุตสาหกรรม จำนวน ๕๐ ตารางกิโลเมตร ทั้งนี้ จากเดิมได้รับสัมปทาน จำนวน ๒๐๔.๕ ตารางกิโลเมตร แต่ทางบริษัทได้ขอปรับลดขนาดการดำเนินสัมปทานลง เนื่องจากการก่อสร้างท่าเรือและถนนในโครงการต้องใช้งบประมาณที่สูงและอาจส่งผลให้ใช้เวลานานในการคืนทุน จากปัญหาดังกล่าว รัฐบาลเมียนมาจึงได้เสนอจัดตั้งนิติบุคคลเฉพาะกิจ และเปิดโอกาสให้ประเทศต่าง ๆ เข้ามาลงทุน อาทิ ญี่ปุ่น และจีน เพื่อแก้ไขปัญหา
ข้อมูลจากการเข้าพบหารือกับสภาหอการค้าและอุตสาหกรรมแห่งสหภาพเมียนมา (Union of Myanmar Federation of Chambers of Commerce and Industry :UMFCCI)
สภาหอการค้าและอุตสาหกรรมแห่งสหภาพเมียนมา หรือ UMFCCI ก่อตั้งขึ้นในปี ค.ศ. ๑๙๑๙ ภายใต้ชื่อ Burmese Chamber of Commerce และได้ทำการเปลี่ยนชื่อเป็นสภาหอการค้าและอุตสาหกรรมแห่งสหภาพเมียนมา หรือ UMFCCI ในปี ค.ศ. ๑๙๙๙ เพื่อดำเนินการตามวัตถุประสงค์ ดังนี้
๑) การมีส่วนร่วมในประเด็นนโยบายของรัฐ
๒) ร่วมพัฒนาเศรษฐกิจ
๓) ปกป้องคุ้มครองเศรษฐกิจของรัฐและประชาชน
๔) ให้ความร่วมมือกับภาครัฐและสนับสนุนกลุ่มเคลื่อนไหวทางสังคม
๕) มีบทบาทนำและให้ความร่วมมือกับองค์การภาคธุรกิจ
๖) สร้างความเชื่อมโยงระหว่างภาครัฐและเอกชน
๗) สนับสนุนการค้าของกลุ่มวิสาหกิจขนาดกลางและย่อม (SMEs)
๘) นำภาคธุรกิจของเมียนมาไปสู่เศรษฐกิจโลก
๙) พัฒนาการค้า ผลผลิต และการบริการให้มีมาตรฐานสากล
๑๐) แสดงบทบาทอย่างเสรีในฐานะองค์กรที่ไม่แสวงหาผลกำไร
๑๑) ให้ข้อมูลและความรู้เกี่ยวกับมาตรฐานการค้าโลก
โดยสภาหอการค้าและอุตสาหกรรมแห่งสหภาพเมียนมา มีบทบาทสำคัญในการช่วยเหลือภาครัฐในการส่งเสริมการค้าของภาคเอกชน รวมทั้งการลงทุนของภาคเอกชน โดยเฉพาะภาคการเกษตร การปศุสัตว์ และการค้าชายแดน เนื่องจากสามารถสร้างรายได้ให้กับเมียนมาได้อย่างมาก จากการที่ทวาย มีสภาพภูมิอากาศที่มีฝนตกชุกตลอดทั้งปี ทำให้มีศักยภาพในการเพาะปลูกได้เป็นอย่างดี ประกอบกับมีสภาพภูมิประเทศที่มีทั้งทะเลและแม่น้ำสายใหญ่ทำให้มีผลผลิตจากการประมงและเพาะเลี้ยงสัตว์น้ำเป็นจำนวนมาก เมียนมาจึงให้ความสำคัญในการส่งเสริมการเกษตร การปศุสัตว์ และการประมง ควบคู่ไปกับการพัฒนาอุตสาหกรรมบริเวณพื้นที่ทวาย ในการนี้ คณะอนุกรรมาธิการฯ ได้ให้ข้อเสนอแนะในที่ประชุมว่า ทวายมีฝนตกชุกตลอดทั้งปีและมีลักษณะภูมิอากาศที่คล้ายคลึงกับภาคใต้ของไทย ภาครัฐควรส่งเสริมให้มีการทดลองปลูกยางพาราเพื่อให้เป็นพืชเศรษฐกิจของทวายในอนาคต
๒. การศึกษาดูงานสถานที่ก่อสร้างโครงการท่าเรือน้ำลึกทวาย สาธารณรัฐแห่งสหภาพเมียนมา
โครงการท่าเรือน้ำลึกทวายตั้งอยู่ในเขตเมืองทวาย สาธารณรัฐแห่งสหภาพเมียนมามีระยะทางห่างจากเขตชายแดนไทย จังหวัดกาญจนบุรีเพียง ๑๓๐ กิโลเมตร และห่างจากเมืองย่างกุ้ง ๖๐๐ กิโลเมตร โครงการดังกล่าวเป็นโครงการที่รัฐบาลเมียนมากับรัฐบาลไทยได้ร่วมกันริเริ่มดำเนินโครงการมาตั้งแต่ปี พ.ศ. ๒๕๕๑ ต่อมาในปี พ.ศ. ๒๕๕๕ รัฐบาลเมียนมาได้ให้สัมปทานบริษัทเอกชนไทยเป็นเวลา ๗๕ ปี ในการดำเนินโครงการสร้างท่าเรือน้ำลึกและการสร้างนิคมอุตสาหกรรมขนาดใหญ่
รัฐบาลเมียนมากำหนดให้โครงการทวายจัดตั้งเป็นท่าเรือขนาดใหญ่ที่สามารถรองรับเรือบรรทุกน้ำมันขนาด ๓ แสนบาร์เรล รองรับสินค้าได้ทั้งตู้คอนเทนเนอร์และสินค้าเทกอง มีพื้นที่เขตอุตสาหกรรมราว ๒๕๐ ตารางกิโลเมตร ในโครงการประกอบด้วยท่าเรือ โรงไฟฟ้า โรงแรม ที่พัก นิคมอุตสาหกรรม และถนนที่สามารถเดินทางจากเมียนมาไปยังไทยบริเวณด่านจังหวัดกาญจนบุรี และสามารถเดินทางต่อมายังท่าเรือกรุงเทพ ท่าเรือแหลมฉบัง อีกทั้งยังสามารถเชื่อมต่อเส้นทางจากไทยไปสู่กัมพูชาและเวียดนามได้อีกด้วย ซึ่งตามแผนงานเดิมรัฐบาลเมียนมาได้กำหนดเปิดใช้โครงการดังกล่าวในปี พ.ศ. ๒๕๕๘ พร้อมกับการเปิดประชาคมเศรษฐกิจอาเซียน (ASEAN Economic Community: AEC) อย่างไรก็ตาม โครงการดังกล่าวยังประสบปัญหาจากการที่เอกชนผู้ได้รับสัมปทานขาดเงินทุนหมุนเวียนทำให้โครงการก่อสร้างบางส่วนต้องหยุดชะงักลง ทั้งนี้ รัฐบาลเมียนมาได้ปรับแผนพัฒนาโครงการให้เป็นท่าเรือขนาดเล็กในระยะแรกก่อน เพื่อให้เหมาะสมกับขนาดและปริมาณของธุรกิจในพื้นที่ นอกจากนี้ รัฐบาลเมียนมายังได้ประกาศจัดตั้งเขตเศรษฐกิจพิเศษบริเวณรอบท่าเรือ เพื่อส่งเสริมการลงทุนให้กับธุรกิจที่ต้องการไปจัดตั้งในเขตพื้นที่ เช่น การลดภาษีศุลกากรและภาษีรายได้บุคคล เป็นต้น
ข้อคิดเห็นและข้อเสนอแนะจากการศึกษาดูงาน
๑. การขนส่งทางน้ำของจังหวัดกาญจนบุรีสามารถเชื่อมต่อกับประเทศเพื่อนบ้านและพื้นที่อื่นภายในประเทศ ยังมีปริมาณน้อยเมื่อเปรียบเทียบกับศักยภาพในการพัฒนาที่มีโอกาสสูงในการพัฒนา ดังนั้น การพัฒนาเส้นทางขนส่งทางน้ำจึงมีความสำคัญ ยกตัวอย่างเช่น การปรับประตูระบายน้ำเขื่อนเพื่อให้เรือขนส่งสินค้าสามารถเดินทางได้สะดวก อีกทั้ง เรือขนส่งสินค้ายังสามารถขยายเส้นทางขนส่ง จากทวายไปยังจังหวัดกาญจนบุรี จังหวัดราชบุรี และออกไปสู่อ่าวไทยได้ นอกจากการพัฒนาเส้นทางเดินเรือแล้ว ควรมีการสร้างคลังสินค้าบริเวณท่าเรือเพื่อบูรณาการระบบขนส่งทางน้ำ ทางราง และทางถนนเพื่อสร้างความสะดวกในการขนส่งสินค้าระหว่างประเทศ
๒. ควรส่งเสริมให้มีการจัดตั้งนิคมอุตสาหกรรมตามแนวท่อก๊าซ เพื่อลดต้นทุนการผลิตการขนส่ง และส่งเสริมการพัฒนาพลังงานทางเลือก
๓. ทวายมีลักษณะภูมิอากาศคล้ายคลึงกับภาคใต้ของไทย คือ มีฝนตกชุกตลอดทั้งปีจึงควรทดลองให้มีการปลูกยางพาราเพื่อส่งเสริมให้เป็นพืชเศรษฐกิจของทวายในอนาคต
คำค้น : เศรษฐกิจ ท่าเรือ โครงการทวาย กาญจนบุรี
เสาหลัก : เศรษฐกิจ
|