ประธานคณะ กมธ.การสาธารณสุข แถลงผลการประชุมของคณะ กมธ.
3 เมษายน 2568
วันพฤหัสบดีที่ 3 เมษายน 2568 เวลา 14.10 นาฬิกา ณ ห้องแถลงข่าว ชั้น 1 อาคารรัฐสภา นายทศพร เสรีรักษ์ ประธานคณะ กมธ.การสาธารณสุข แถลงข่าวผลการประชุมของคณะ กมธ. ว่า ได้มีการพิจารณาปัญหาเรื่องของการแพทย์ในกรุงเทพมหานคร โดยได้เชิญหน่วยงานจากกระทรวงสาธารณสุข สำนักงานหลักประกันสุขภาพแห่งชาติ (สปสช.) และกรุงเทพมหานคร (กทม.) โดยได้รับข้อมูลว่าเตียงของโรงพยาบาลในสังกัดกทม. 2,845 เตียง โรงพยาบาลรัฐบาล 17,729 เตียง โรงพยาบาลเอกชน 16,262 เตียง และยังมีอีกหลายสังกัด อาทิ กระทรวงกลาโหมโรงพยาบาลมหาวิทยาลัยต่าง ๆ เพราะฉะนั้น เตียงโรงพยาบาลในสังกัดกทม. มีอัตราส่วนเพียงร้อยละ 8.37 คิดเป็นอัตราเตียงร้อยละ 128.2 เตียงต่อแสนประชากร ซึ่งยังไม่เพียงพอ และโรงพยาบาลสังกัดกทม. ไม่ได้กระจายอยู่ในทุกเขตอีกด้วย ทางกทม. ชี้แจงว่า มีการพยายามสร้างโรงพยาบาลเพิ่ม 4 แห่ง ในขณะนี้ ได้แก่ 1. โรงพยาบาลพระมงคล เทพมุณี ที่ดูแลทางกรุงธนใต้ อยู่ในระหว่างกำลังออกแบบเพิ่มมูลค่า 1 พันล้านบาท จะเป็นโรงพยาบาลขนาด 150 เตียง 2. โรงพยาบาลบุษราคัมจิตการุณย์ ดูแลทางกรุงเทพเหนือ โดยจะทำให้เป็นโรงพยาบาล 20 เตียง ซึ่งกำลังออกแบบให้เต็มรูปแบบ มูลค่า 1,290 ล้านบาท 3. โรงพยาบาลทุ่งครุ ดูแลทางกรุงเทพใต้ จะเป็นโรงพยาบาล 100 เตียง ใช้งบประมาณ 900 ล้านบาท ซึ่งกำลังจัดสรรเลือกพื้นที่อยู่ และ 4. โรงพยาบาลดอนเมือง ดูแลทางกรุงเทพเหนือ เป็นโรงพยาบาลขนาด 200 เตียง มูลค่า 2 พันล้านบาท อยู่ในขั้นตอนกำลังออกแบบ นอกจากนี้ กรมการแพทย์ มีการเสริมกำลังในกรุงเทพ 2 ลักษณะ คือ
1. โรงพยาบาลทั่วไป มีประมาณ 3,000 เตียง
2. โรงพยาบาลเฉพาะทาง รวมประมาณ 1 พันเตียง ซึ่งส่วนใหญ่ฃโรงพยาบาลเหล่านี้ อยู่แค่ใจกลางกทม. เท่านั้น นอกจากโรงพยาบาลไม่พอแล้ว บุคลากรทางการแพทย์ ก็ยังไม่พอ คณะกรรมาธิการจึงมีข้อเสนอ ในประเด็น 50 เขต 50 โรงพยาบาล ซึ่งผู้ชี้แจงแจ้งว่าเป็นไปไม่ได้เพราะว่า หาพื้นที่ไม่ได้ และบางพื้นที่มีราคาแพง รวมทั้งเขตที่อยู่ติดกันก็ไม่จำเป็นว่าจะต้องมีโรงพยาบาลทุกเขต อย่างไรก็ตาม คณะกรรมาธิการเห็นว่าควรจะดำเนินดังนี้
1. ทุกเขตจะต้องมีโรงพยาบาลประจำเขตรับผิดชอบ ซึ่งโรงพยาบาลประจำเขตอาจจะไม่ได้อยู่ในเขตตัวเอง หรือโรงพยาบาลหนึ่งอาจจะรับผิดชอบหลายเขตได้
2. โรงพยาบาลเขตต้องมีโรงพยาบาลรัฐที่ไม่ต่ำกว่า 120 เตียง ซึ่งขนาดจะเทียบเท่ากับโรงพยาบาลจังหวัดขนาดเล็ก
3. ใช้สถานที่หรืออาคารที่มีอยู่แล้ว โดยไม่จำเป็นต้องหาสถานที่ใหม่หรือสร้างตึกใหม่ ที่ต้องใช้งบประมาณเป็นพันล้าน หรืออีกหนึ่งทางเลือกคือให้เอกชนมาร่วมลงทุนกับกทม. โดยอาจจะใช้สถานที่ พื้นที่ อาคารของกทม. และให้เอกชนเข้ามาดำเนินการบริหาร ซึ่งอยู่ในระหว่างการพยายามทำอยู่ 4. เงื่อนไขงบประมาณบุคลากรของกทม. จำกัดไว้ว่าแค่ร้อยละ 40 เพราะฉะนั้น ทำให้การเพิ่มบุคลากรในทางการแพทย์ของกทม. ต้องแก้ไขได้ระเบียบข้อบังคับ หรือ พ.ร.บ.ของกทม. แต่สิ่งที่จะต้องพึงระวังคือ การเปิดโรงพยาบาลเพิ่มขึ้นในกทม. แล้วต้องการบุคลากรทางแพทย์จำนวนมาก อาจจะเป็นการดึงดูดบุคลากรทางการแพทย์จากต่างจังหวัดเข้ามา ซึ่งอัตราส่วนแพทย์ในต่างจังหวัดน้อยอยู่แล้ว ถ้าถูกดึงดูดเข้ามาก็จะกลายเป็นคนต่างจังหวัดจะลำบากมากขึ้นแทน อาจจะแก้ได้ โดยการจ้างนอกเวลา หรือจ้างมาปฏิบัติงานเป็นพิเศษ
5. กทม. ต้องเน้นเรื่องการส่งเสริมและป้องกันสุขภาพด้วย ถ้าประชาชนมีสุขภาพดีขึ้น การมาใช้บริการในโรงพยาบาลก็น่าจะน้อยลง ต้องมีความชัดเจนว่าผู้ใดเป็นเจ้าภาพในการบริหารงาน ดูแลเรื่อง สาธารณสุขในกรุงเทพฯ เพราะฉะนั้น การบูรณาการทุกหน่วยเข้ามาร่วมกันเป็นการดี แต่ต้องมีนโยบายที่ชัดเจน รวมทั้ง ผู้บริหารที่มีอำนาจที่ชัดเจนในการวางแผนแก้ไขปัญหาการสาธารณสุขในกทม. ซึ่งประเด็นนี้ คณะกมธ.ให้ความสนใจ โดยจะศึกษาปัญหาเรื่องดังกล่าวกันต่ออย่างละเอียด เพื่อหาแนวทางในการปฏิรูประบบสาธารณสุขทั้งประเทศ โดยเฉพาะอย่างยิ่งใน กทม.