ประธานคณะ กมธ.การแรงงาน รับยื่นหนังสือจากประธานสภาองค์การลูกจ้างแรงงานแห่งประเทศไทย เพื่อขอให้แก้ปัญหาการเลือกตั้งคณะกรรมการไตรภาคีที่ไม่เป็นธรรม
10 เมษายน 2568
วันพฤหัสบดีที่ 10 เมษายน 2568 เวลา 13.40 นาฬิกา ณ ห้องแถลงข่าว ชั้น 1 อาคารรัฐสภา นายสฤษฏ์พงษ์ เกี่ยวข้อง ประธานคณะ กมธ.การแรงงาน และคณะ รับยื่นหนังสือจาก นายพนัส ไทยล้วน ประธานสภาองค์การลูกจ้างแรงงานแห่งประเทศไทย และคณะ เพื่อขอให้แก้ปัญหาการเลือกตั้งคณะกรรมการไตรภาคีที่ไม่เป็นธรรม โดยสหภาพแรงงานได้จัดตั้งขึ้นตาม พ.ร.บ.แรงงานสัมพันธ์ พ.ศ. 2518 ซึ่งมาตรา 89 ระบุให้ผู้มีสิทธิจัดตั้งสหภาพแรงงานจำนวนไม่น้อยกว่า 10 คน เป็นผู้เริ่มก่อการ และมาตรา 87 ระบุว่าเมื่อได้จดทะเบียนแล้วให้สหภาพแรงงานเป็นนิติบุคคล สำหรับสิทธิในการตั้งคณะกรรมการลูกจ้างตามหมวด 5 มาตรา 45 กำหนดว่า ในสถานประกอบกิจการที่มีลูกจ้างตั้งแต่ 50 คนขึ้นไป ลูกจ้างอาจจัดตั้งคณะกรรมการลูกจ้างในสถานประกอบกิจการนั้นได้ และคณะกรรมการสวัสดิการในสถานประกอบกิจการจัดตั้งขึ้นตาม พ.ร.บ.คุ้มครองแรงงาน พ.ศ. 2541 มาตรา 96 ระบุว่า ในสถานประกอบกิจการที่มีลูกจ้างตั้งแต่ 50 คนขึ้นไป ให้นายจ้างจัดให้มีคณะกรรมการสวัสดิการในสถานประกอบกิจการ ประกอบด้วย ผู้แทนฝ่ายลูกจ้างอย่างน้อย 5 คน กรรมการสวัสดิการในสถานประกอบกิจการให้มาจากการเลือกตั้ง ตามหลักเกณฑ์และวิธีการที่อธิบดีกำหนด ในกรณีที่สถานประกอบกิจการใดของนายจ้างมีคณะกรรมการลูกจ้างว่าด้วยแรงงานสัมพันธ์แล้ว ให้คณะกรรมการลูกจ้างทำหน้าที่เป็นคณะกรรมการสวัสดิการตาม พ.ร.บ.นี้ ทั้งนี้ กรมสวัสดิการและคุ้มครองแรงงานได้ใช้ระเบียบนี้ในการเลือกตั้งกรรมการไตรภาคีมาโดยตลอด โดยผู้สมัครและออกเสียงลงคะแนนต่างมีสิทธิโดยเท่าเทียมกันทุกประการ ดังนั้น เมื่อมีการเปลี่ยนแปลงหลักการปฏิบัติที่ขัดแย้งกับระเบียบและรัฐธรรมนูญที่กำหนดว่า บุคคลย่อมเสมอกันในกฎหมายได้รับความคุ้มครองตามกฎหมายเท่าเทียมกัน ดังนั้น จึงเห็นได้ว่าการที่กรมสวัสดิการและคุ้มครองแรงงานให้สิทธิสหภาพแรงงานที่มีลูกจ้างเกินกว่า 50 คนขึ้นไปซึ่งสามารถจัดตั้งคณะกรรมการลูกจ้างได้และสามารถไปทำหน้าที่เป็นคณะกรรมการสวัสดิการในสถานประกอบการ สามารถใช้สิทธิออกเสียงแทนคณะกรรมการสวัสดิการเพิ่มอีก 1 เสียง จึงทำให้มีข้อแตกต่างทันทีระหว่างสหภาพแรงงานที่มีลูกจ้างไม่เกิน 50 คน ซึ่งไม่มีสิทธิจัดตั้งคณะกรรมการลูกจ้างและคณะกรรมการสวัสดิการในสถานประกอบกิจการที่ไม่มีสหภาพแรงงานแต่มีคณะกรรมการสวัสดิการและมาจากการเลือกตั้งของลูกจ้างทั้งหมดในสถานประกอบกิจการนั้นทำหน้าที่เป็นกรรมการสวัสดิการ และเมื่อมีการสอบถามว่าเหตุใดจึงมีข้อแตกต่างกัน สำนักแรงงานสัมพันธ์ กรมสวัสดิการและคุ้มครองแรงงาน อ้างว่าเป็นระเบียบที่ออกมาตั้งแต่ปี 2559 และใช้เลือกตั้งมาแล้ว 3 ครั้ง แต่ไม่เคยแจ้งว่าที่ผ่านมาทั้ง 3 ครั้ง เป็นการออกเสียงคนละ 1 เสียงเท่ากัน จึงไม่มีปัญหาข้อขัดแย้งเกิดขึ้น ซึ่งสำนักแรงงานสัมพันธ์ย่อมทราบดีว่า การเลือกตั้งในระบอบประชาธิปไตยต่างก็มีสิทธิ 1 เสียงโดยเท่าเทียมกัน ไม่เคยปรากฏว่ามีใครออกเสียงเกินกว่า 1 เสียงได้ รวมทั้งประเทศไทยก็ไม่เคยเกิดเหตุเช่นนี้ขึ้น ทั้งนี้ประเทศไทยเป็นสมาชิกขององค์การแรงงานระหว่างประเทศ ซึ่งองค์กรไตรภาคีของโลกซึ่งยึดถือระบบไตรภาคีที่ทุกฝ่ายมีสิทธิเท่าเทียมกันเป็นสำคัญ จึงไม่มีทางที่ประเทศไทยจะเปลี่ยนแปลงหลักเกณฑ์ใด ๆ หรือในระบบไตรภาคีให้มีสิทธิออกเสียงเป็นอย่างอื่นไปได้ แม้แต่รัฐธรรมนูญของประเทศไทยซึ่งถือเป็นกฎหมายสูงสุดก็ยังกำหนดไว้ในมาตรา 27 ให้บุคคลย่อมเสมอกันทางกฎหมาย มีสิทธิและเสรีภาพได้รับการคุ้มครองทางกฎหมายอย่างเท่าเทียมกัน ดังนั้น สภาองค์กรลูกจ้างแรงงานฯ จึงขอให้คณะ กมธ. พิจารณาแก้ไขปัญหาเรื่องการเลือกตั้งคณะกรรมการไตรภาคีที่ไม่เป็นธรรม
นายสฤษฏ์พงษ์ เกี่ยวข้อง กล่าวภายหลังรับหนังสือว่า ขอขอบคุณทางคณะที่ได้มายื่นหนังสือในวันนี้ โดยจะมอบหมายให้ฝ่ายเลขาคณะ กมธ. ได้ทำหนังสือถึง รมว.แรงงาน สอบถามถึงความเป็นมาเป็นไปและสัดส่วนตัวแทนของคณะกรรมการว่ามีที่มาที่ไปอย่างไร ทั้งนี้ จะนำเรื่องดังกล่าวเข้าสู่การพิจารณาของคณะ กมธ. และจะได้เชิญตัวแทนสภาองค์การลูกจ้างแรงงานฯ เข้ามาให้ข้อมูลและหาข้อสรุปร่วมกันต่อไป