ประธานรัฐสภาและประธานสภาผู้แทนราษฎร ให้การต้อนรับ นายคัมภีร์ ดิษฐากรณ์ ที่ปรึกษาจุฬาราชมนตรีด้านแผนงานและโครงการ
วันจันทร์ที่ ๒๘ กันยายน ๒๕๖๓ เวลา ๑๑.๓๐ น. ณ ห้องประชุม ชั้น ๖ อาคารรัฐสภา
นายชวน หลีกภัย ประธานรัฐสภาและประธานสภาผู้แทนราษฎร ให้การต้อนรับ
นายคัมภีร์ ดิษฐากรณ์ ที่ปรึกษาจุฬาราชมนตรีด้านแผนงานและโครงการ
พร้อมด้วยคณะกรรมการสถาบันพัฒนาผู้นำศาสนาอิสลาม สำนักจุฬาราชมนตรี
คณะผู้เข้ารับการศึกษาอบรมหลักสูตร "การพัฒนาภาวะความเป็นผู้นำศาสนา ยุคใหม่"
รุ่นที่ ๔ ประจำปีงบประมาณ ๒๕๖๓ และหลักสูตร "พัฒนาศักยภาพอิหม่าม" รุ่นที่ ๒
ประจำปี ๒๕๖๓ ตลอดจนเจ้าหน้าที่สำนักจุฬาราชมนตรี ในโอกาสศึกษาดูงาน
ณ รัฐสภา โดยมี คณะทำงานประธานรัฐสภา และประธานสภาผู้แทนราษฎร
ร่วมต้อนรับ
ในการนี้ นายชวน หลีกภัย ประธานรัฐสภาและประธานสภาผู้แทนราษฎร
ให้เกียรติบรรยายสรุป เรื่อง "วิวัฒนาการความก้าวหน้าประชาธิปไตย
แบบไทย" ว่า ทุกคนต้องแสวงหาความรู้ เพื่อตามโลกและตามบ้านเมือง
ให้ทัน ความรู้ที่มีไม่สำคัญเท่ากับการนำไปปฏิบัติ เพราะการปฏิบัติเป็นสิ่งสำคัญ
นอกจากนี้ ศาสนาทุกศาสนาสอนให้ทุกคนเป็นคนดี ให้ทำประโยชน์ต่อประเทศชาติ
เช่น ศาสนาอิสลามก็สร้างบุคคลที่สร้างคุณประโยชน์ต่อประเทศชาติ เช่น
ดร.สุรินทร์ พิศสุวรรณ เป็นต้น ทั้งนี้ นับแต่การเปลี่ยนแปลงการปกครองมากว่า
๘๘ ปี การเมืองไทยได้มีความก้าวหน้าไปมาก จากเริ่มแรกที่มีผู้แทนที่จบ
ปริญญาเอกเพียง ๒ ท่าน แต่ปัจจุบันหลายท่านได้ศึกษาปริญญาเอกกันมาก
เป็นผลดีต่อการทำหน้าที่ เพราะทำให้เรามีสภาที่มีผู้ทรงคุณวุฒิ มีความรู้และเข้าใจ
ในปัญหา แต่สิ่งหนึ่งที่เปลี่ยนไป คือที่มาของนักการเมือง จากเมื่อก่อนไม่มีคำ
ว่า “ซื้อเสียง” มีเพียงหัวคะแนน การปราศรัยหาเสียงก็ยังไม่มี ซึ่งตนเป็น
ผู้บุกเบิกใช้วิธีปราศรัย
อีกทั้งสมัยนั้นไม่ได้ใช้เงินใช้ในการสมัครและหาเสียง สิ่งนี้ก็คือความเปลี่ยนแปลง
แสดงให้เห็นว่า กว่าจะเป็นวันนี้ได้ บ้านเมืองพัฒนามาตามลำดับ ระบบการเมืองเอง
ก็เช่นกัน ได้มีการเปลี่ยนแปลง มีนักการเมืองที่มีความรู้และมีอาชีพที่หลากหลายมากขึ้น
โดยสิ่งสำคัญอย่างหนึ่งที่ต้องการเน้นย้ำคือ เรื่องการเมืองสุจริต หากมีการซื้อเสียง
มาแล้วจะเข้ามาทำงานอย่างสุจริตหรือไม่ และการที่จะทำงานโดยไม่หา
ผลประโยชน์นั้นยาก เช่นเดียวกับตำแหน่งข้าราชการหากซื้อตำแหน่งมาก็เป็นไป
ไม่ได้ที่จะไม่แสวงหา ผลประโยชน์ในส่วนของวิวัฒนาการทางการเมืองไทยนั้น
เปลี่ยนแปลงไปในทางที่ดีขึ้นเป็นลำดับ และประชาธิปไตยนำมาซึ่งสิ่งดีงาม
ในสังคม อาทิ โครงการนมโรงเรียน และโครงการกองทุนเงินให้กู้ยืมเพื่อการศึกษา
ล้วนเกิดมาจากวิวัฒนาการของประชาธิปไตย ทั้งนี้ แม้วิวัฒนาการของการเมืองไทยจะดีขึ้น
แต่มีจุดอ่อนคือ ความบกพร่องของนักการเมือง
ดังนั้น เราจึงควรส่งเสริม สนับสนุนให้คนดีได้ปกครองบ้านเมือง ตามพระบรมราโชวาท
ของพระบาทสมเด็จพระบรมชนกาธิเบศร มหาภูมิพลอดุลยเดชมหาราช
บรมนาถบพิตร ในหลวงรัชกาลที่ ๙ ที่ทรงพระราชทานในพิธีเปิดงานชุมนุมลูกเสือแห่งชาติ
เมื่อวันที่ ๑๑ ธ.ค. ๑๒ “ในบ้านเมืองนั้น มีทั้งคนดีและคนไม่ดี ไม่มีใครจะทำให้
ทุกคนเป็นคนดีได้ทั้งหมด การทำให้บ้านเมืองมีความปรกติสุขเรียบร้อย จึงมิใช่การทำให้
ทุกคนเป็นคนดี หากแต่อยู่ที่การส่งเสริมคนดี ให้คนดีได้ปกครองบ้านเมือง และ
ควบคุมคนไม่ดี ไม่ให้มีอำนาจ ไม่ให้ก่อความเดือดร้อนวุ่นวายได้” อีกประการหนึ่ง
ซึ่งเป็นสิ่งที่สำคัญของบ้านเมืองเราคือ เป็นไปตามแนวความคิดของเพลโต (Plato)
นักปราชญ์ชาวกรีก ที่ได้กล่าวไว้ว่า การปกครองที่ทำให้บ้านเมืองเป็นปกติเรียบร้อย
ต้องปกครองด้วยคนดี หรือ “ราชาแห่งปราชญ์ (Philosopher King)” แต่คุณสมบัติ
ของคน เช่นว่านั้นหาได้ยาก ประกอบกับมนุษย์นั้นเปลี่ยนแปลงได้ตลอดเวลา
กล่าวคือ เมื่อได้มองเห็นถึงผลประโยชน์ต่าง ๆ ที่ตนจะได้รับ ก็อาจมีแนวความคิด
และความประพฤติที่เปลี่ยนแปลงไปได้ ดังนั้น ในยุคหลังจึงเห็นว่าการปกครอง
ที่จะรักษาความสงบเรียบร้อยได้นั้น ต้องปกครองด้วยหลักกฎหมายหรือนิติรัฐ
ดังที่ได้กล่าวมาแล้ว แต่ประเทศไทยของเราในปัจจุบันมีความต้องการทั้งสองประการ คือ
การปกครองโดยคนดีและหลักกฎหมายที่ดี เพราะหากมีหลักกฎหมายที่ดี แต่คนปฏิบัติไม่ดี
ก็ก่อให้เกิดความวุ่นวายตามมา และมีการละเมิดหลักกฎหมายบ้านเมืองอย่าง
ไม่เกรงกลัว ทำให้หลักกฎหมายที่ดีเสียไป เพราะฉะนั้นการสร้างหลักเกณฑ์ของ
บ้านเมืองที่ดีกับการสร้างคนดีเพื่อให้ปกครองบ้านเมืองจึงต้องควบคู่กันไป
โดยระบอบประชาธิปไตยต้องอาศัยหลักที่ดีกับคนดีให้ไปด้วยกัน รวมทั้งยึดถือหลัก
ของความซื่อสัตย์ สุจริต ดังนั้น ในยุคหลังจึงเห็นว่าการปกครองที่จะรักษาความสงบ
เรียบร้อยได้นั้น ต้องปกครองด้วยหลักกฎหมายหรือนิติรัฐ