ก.ร. ย่อมาจาก “คณะกรรมการข้าราชการรัฐสภา” ซึ่งมีกรรมการทั้งหมด 17 คน ดังนี้
โดย ก.ร. ทำหน้าที่เป็นองค์กรกลางในการบริหารทรัพยากรบุคคลสำหรับข้าราชการรัฐสภาสามัญ ตามพระราชบัญญัติระเบียบข้าราชการรัฐสภา พ.ศ. 2554 และทำหน้าที่กำหนดระเบียบรัฐสภาหรือประกาศรัฐสภาเกี่ยวกับการบริหารงานทั่วไป การงบประมาณ การเงินและทรัพย์สิน และการดำเนินการอื่นของส่วนราชการสังกัดรัฐสภา
ส่วนราชการสังกัดรัฐสภาเป็นส่วนราชการที่ปฏิบัติหน้าที่สนับสนุนงานของฝ่ายนิติบัญญัติตามพระราชบัญญัติระเบียบบริหารราชการฝ่ายรัฐสภา พ.ศ. 2554 ปัจจุบันมีส่วนราชการสังกัดรัฐสภา 2 ส่วนราชการ ได้แก่
การประชุมในราชการฝ่ายรัฐสภา ได้แก่ คณะกรรมการข้าราชการรัฐสภา (ก.ร.) คณะอนุกรรมการข้าราชการรัฐสภา (อ.ก.ร.) คณะกรรมการที่ ก.ร. แต่งตั้ง คณะทำงานของ อ.ก.ร. คณะกรรมการตามระเบียบรัฐสภาหรือประกาศรัฐสภาตามกฎหมายว่าด้วยระเบียบบริหารราชการฝ่ายรัฐสภา คณะกรรมการซึ่งได้รับแต่งตั้งโดยประธานรัฐสภา ประธานสภาผู้แทนราษฎร หรือประธานวุฒิสภา คณะอนุกรรมการซึ่งได้รับแต่งตั้งโดยประธานรัฐสภา ประธานสภาผู้แทนราษฎร หรือประธานวุฒิสภา คณะอนุกรรมการที่คณะกรรมการแต่งตั้ง คณะกรรมการหรือคณะอนุกรรมการอื่น ๆ ที่ได้รับแต่งตั้งให้ปฏิบัติหน้าที่ในราชการฝ่ายรัฐสภา สามารถจัดให้มีการประชุมผ่านสื่ออิเล็กทรอนิกส์ เช่น ระบบ Cisco Webex ระบบ Zoom ระบบ Microsoft Teams ระบบ NT Conference โดยการจัดประชุมดังกล่าวมีผลในทางกฎหมายเช่นเดียวกันการประชุมที่อยู่ในห้องประชุมเดียวกัน ซึ่งเป็นไปตามระเบียบรัฐสภาว่าด้วยการประชุมผ่านสื่ออิเล็กทรอนิกส์ พ.ศ. 2563
ตามระเบียบรัฐสภาว่าด้วยการแต่งตั้งบุคคลเพื่อปฏิบัติหน้าที่อันจะเป็นประโยชน์ต่อการปฏิบัติงานของรัฐสภา สภาผู้แทนราษฎร วุฒิสภา สมาชิกสภาผู้แทนราษฎร สมาชิกวุฒิสภา และกรรมาธิการของสภาผู้แทนราษฎรหรือวุฒิสภา พ.ศ. 2554 กำหนดให้แต่งตั้งบุคคลเพื่อปฏิบัติงาน ดังนี้
ข้าราชการรัฐสภา เป็นข้าราชการพลเรือนประเภทหนึ่ง แยกต่างหากจากข้าราชการพลเรือนสามัญ ข้าราชการครูและบุคลากรทางการศึกษา ข้าราชการฝ่ายตุลาการศาลยุติธรรม โดยเป็นข้าราชการตามพระราชบัญญัติระเบียบข้าราชการรัฐสภา พ.ศ. 2554 และแบ่งข้าราชการรัฐสภาออกเป็น 2 ประเภท ได้แก่
1. ตำแหน่งประเภทบริหาร
ตำแหน่งหัวหน้าส่วนราชการสังกัดรัฐสภา
รองหัวหน้าส่วนราชการสังกัดรัฐสภา ผู้ช่วยหัวหน้าส่วนราชการสังกัดรัฐสภา หรือตำแหน่งอื่นที่ ก.ร. กำหนดให้เป็นตำแหน่งประเภทบริหาร
2. ตำแหน่งประเภทอำนวยการ
ตำแหน่งหัวหน้าส่วนราชการภายในระดับสำนัก ผู้อำนวยการกลุ่มงาน หรือตำแหน่งอื่นที่ ก.ร. กำหนดให้เป็นตำแหน่งประเภทบริหาร
ผู้อำนวยการระดับสำนัก
3. ตำแหน่งประเภทวิชาการ
ตำแหน่งที่จำเป็นต้องใช้ผู้สำเร็จการศึกษาระดับปริญญาเพื่อปฏิบัติงานในหน้าที่ของตำแหน่งนั้น โดยมีการจำแนกตามลักษณะหน้าที่ความรับผิดชอบและคุณภาพของงานเป็นหลัก หรือตำแหน่งอื่นที่ ก.ร. กําหนดให้เป็นตำแหน่งประเภทวิชาการ
ฯลฯ
4. ตำแหน่งประเภททั่วไป
ตำแหน่งที่ไม่ใช่ตำแหน่งประเภทบริหาร ตำแหน่งประเภทอำนวยการ และตำแหน่งประเภทวิชาการ แต่เป็นตำแหน่งในฐานะผู้ปฏิบัติงานซึ่งเน้นการใช้ทักษะ ฝีมือในการปฏิบัติงาน โดยมีการจำแนกตามลักษณะหน้าที่ความรับผิดชอบและคุณภาพของงานเป็นหลัก และในกรณีที่เห็นสมควร ก.ร. จะกําหนดว่าตำแหน่งใดต้องใช้ผู้สำเร็จการศึกษาระดับปริญญา เพื่อปฏิบัติงานในหน้าที่ของตำแหน่งนั้นด้วยก็ได้ หรือตำแหน่งอื่นที่ ก.ร. กําหนดให้เป็นตำแหน่งประเภททั่วไป
ฯลฯ
การทดลองปฏิบัติหน้าที่ราชการ เป็นขั้นตอนสุดท้ายของกระบวนการเลือกสรรบุคคลเข้ารับราชการที่มีประสิทธิภาพ และเพื่อให้ข้าราชการรัฐสภาสามัญที่ทดลองปฏิบัติหน้าที่ราชการนั้น รู้ระเบียบแบบแผนของทางราชการและเป็นข้าราชการที่ดี ข้าราชการรัฐสภาสามัญที่ต้องมีการทดลองปฏิบัติหน้าที่ราชการ ได้แก่
ระยะเวลาการทดลองปฏิบัติหน้าที่ราชการ กำหนดให้มีการประเมินอย่างน้อย 2 ครั้ง ได้แก่ เมื่อครบ 3 เดือนแรก และเมื่อครบ 6 เดือน ทั้งนี้ อาจมีการขยายระยะเวลาการทดลองปฏิบัติหน้าที่ราชการได้อีกไม่เกิน 3 เดือน
การย้ายและโอน เป็นไปตามพระราชบัญญัติระเบียบข้าราชการรัฐสภา พ.ศ. 2554 ประกอบกฎ ก.ร. ว่าด้วยการย้าย การโอน หรือการเลื่อนข้าราชการรัฐสภาสามัญ พ.ศ. 2556 โดยสรุปดังนี้
การประเมินผลการปฏิบัติราชการของข้าราชการรัฐสภาสามัญ เป็นการประเมินผลการปฏิบัติราชการ มีหัวข้อการประเมิน ดังนี้
กำหนดให้มีการประเมินผลการปฏิบัติราชการและให้มีการเลื่อนเงินเดือนของข้าราชการรัฐสภาสามัญ ปีละ 2 รอบ ตามปีงบประมาณ ดังนี้
เมื่อพบเห็นการกระทำผิดวินัยของข้าราชการรัฐสภาสามัญ และประสงค์จะกล่าวหาว่ากระทำผิดวินัย ให้จัดทำเป็นหนังสือ โดยรายละเอียดดังต่อไปนี้
โดยช่องทางการกล่าวหา ถ้าเป็นการกล่าวหาหัวหน้าส่วนราชการสังกัดรัฐสภา ให้ส่งไปยังประธานสภาผู้แทนราษฎร หรือประธานวุฒิสภา และหากเป็นการกล่าวหาบุคคลอื่น ให้ส่งไปยังหัวหน้าส่วนราชการสังกัดรัฐสภา ที่ข้าราชการรัฐสภาสามัญผู้นั้นสังกัด
ถ้าประสงค์จะกล่าวหาด้วยวาจา ให้ผู้บังคับบัญชาผู้ได้รับฟังการกล่าวหา จัดให้มีการทำบันทึกคำกล่าวหาที่มีรายละเอียดข้างต้น และให้ผู้กล่าวหาลงลายมือชื่อไว้เป็นหลักฐาน
การอุทธรณ์และร้องทุกข์ เป็นการโต้แย้งการดำเนินการของผู้บังคับบัญชาเช่นเดียวกัน
โดยการอุทธรณ์ เป็นการโต้แย้งคำสั่งลงโทษทางวินัยหรือคำสั่งให้ออกจากราชการ
ส่วนการร้องทุกข์ เป็นการโต้แย้งผู้บังคับบัญชาในกรณีใช้อำนาจหน้าที่ปฏิบัติต่อตนโดยไม่ถูกต้องหรือไม่ปฏิบัติต่อตนให้ถูกต้องตามกฎหมาย หรือคับข้องใจอันเกิดจากการปฏิบัติของผู้บังคับบัญชาต่อตน
การอุทธรณ์ ให้ทำเป็นหนังสือลงลายมือชื่อของผู้อุทธรณ์ โดยใช้ถ้อยคำสุภาพและมีสาระสำคัญ ดังนี้
โดยให้ยื่นหนังสืออุทธรณ์ต่อ ก.ร. ภายใน 30 วันนับแต่วันทราบหรือถือว่าทราบคำสั่งลงโทษหรือคำสั่งให้ออกจากราชการ ให้ยื่นที่สำนักงานเลขานุการ ก.ร. หรือจะส่งทางไปรษณีย์ลงทะเบียน ก็ได้
ทั้งนี้ ผู้อุทธรณ์จะขอแถลงการณ์ด้วยวาจา เพื่อประกอบการพิจารณาของ อ.ก.ร. อุทธรณ์และร้องทุกข์ โดยทำเป็นหนังสือยื่นต่อ อ.ก.ร. อุทธรณ์และร้องทุกข์ ก่อนการพิจารณาวินิจฉัยอุทธรณ์เสร็จก็ได้
การร้องทุกข์ ให้ทำเป็นหนังสือโดยใช้ถ้อยคำสุภาพและอย่างน้อยต้องมีสาระสำคัญ ดังนี้
โดยให้ยื่นหนังสืออุทธรณ์ต่อ ก.ร. ภายใน 30 วันนับแต่วันทราบหรือถือว่าทราบเหตุแห่งการร้องทุกข์ ให้ยื่นที่สำนักงานเลขานุการ ก.ร. หรือจะส่งทางไปรษณีย์ลงทะเบียน ก็ได้
ทั้งนี้ ถ้าผู้ร้องทุกข์ประสงค์จะแถลงการณ์ด้วยวาจาในชั้นการพิจารณาคำร้องทุกข์ ให้แสดงความประสงค์ไว้ในคำร้องทุกข์ด้วย หรือจะทำเป็นหนังสือต่างหากก็ได้ แต่ต้องยื่นหรือส่งหนังสือก่อนเริ่มการพิจารณาคำร้องทุกข์
วัตถุประสงค์และแนวคิดของการประเมินองค์กรของส่วนราชการสังกัดรัฐสภา
วัตถุประสงค์
แนวคิด
การประเมินผลการปฏิบัติราชการของส่วนราชการสังกัดรัฐสภา ดำเนินการมาตั้งแต่ปีงบประมาณ พ.ศ. 2549 และได้ดำเนินการต่อเนื่องมาจนถึงปีงบประมาณ พ.ศ. 2566 เป็นปีที่ 18 โดยที่ผ่านมาส่วนราชการสังกัดรัฐสภา ได้ดำเนินการจัดทำกรอบการประเมินผลฯ โดยยึดหลัก Balanced Scorecard โดยแบ่งออกเป็น 4 มิติ ดังนี้ มิติที่ 1 : มิติด้านประสิทธิผลการปฏิบัติราชการ มิติที่ 2 : มิติด้านคุณภาพการให้บริการ มิติที่ 3 : มิติด้านประสิทธิภาพของการปฏิบัติราชการ และมิติที่ 4 : มิติด้านการพัฒนาองค์กร โดยแต่ละมิติจะประกอบด้วยตัวชี้วัดเพื่อขับเคลื่อนให้บรรลุตามเป้าหมายหรือเกณฑ์การให้คะแนนที่กำหนด
สำหรับในปีงบประมาณ พ.ศ. 2566 เพื่อให้เป็นการประยุกต์ใช้กรอบการประเมินผลเป็นไปในทิศทางเดียวกับส่วนราชการฝ่ายบริหาร คณะกรรมการพิจารณากำหนดกรอบตัวชี้วัด น้ำหนัก เป้าหมาย เกณฑ์การให้คะแนนตัวชี้วัดของส่วนราชการสังกัดรัฐสภา ประจำปีงบประมาณ พ.ศ. 2566 ได้กำหนดกรอบการประเมินผลการปฏิบัติราชการของส่วนราชการสังกัดรัฐสภา ประจำปีงบประมาณ พ.ศ. 2566 ประกอบด้วย 2 องค์ประกอบ ได้แก่
องค์ประกอบที่ 1 การประเมินประสิทธิผลการดำเนินงาน (Performance Base)
องค์ประกอบที่ 2 การประเมินศักยภาพในการดำเนินงาน (Potential Base)
มี 4 ระบบ ประกอบด้วย
ความหมายของ ITA (Integrity and Transparency Assessment : ITA) การประเมินคุณธรรมและความ โปร่งใสในการดำเนินงานของหน่วยงานภาครัฐเป็นเครื่องมือการประเมินเชิงบวกเพื่อเป็นมาตรการป้องกันการ ทุจริต และเป็นกลไกในการสร้างความตระหนักให้หน่วยงานภาครัฐมีการดำเนินงานอย่างโปร่งใสและมีคุณธรรม ซึ่งประกอบด้วย 10 ตัวชี้วัด ดังนี้
ดำเนินการส่งเสริมคุณธรรมในองค์กร และเป็นองค์กรที่มีส่วนร่วมสร้างสังคมคุณธรรม โดยมีการบริหารจัดการองค์กรตามหลักคุณธรรม ธรรมาภิบาล หรือหลักการบริหารกิจการบ้านเมืองที่ดีส่งเสริม สนับสนุนให้สมาชิกในองค์กรยึดมั่นคุณธรรมเป็นฐานในการดำเนินชีวิตและปฏิบัติงาน และมีส่วนร่วมรณรงค์ ส่งเสริมคุณธรรมให้กับประชาชน ชุมชน หรือเครือข่ายขององค์กรคุณธรรม ซึ่งหมายรวมทั้งองค์กรภาครัฐ องค์กรภาคธุรกิจ เอกชน องค์กรภาคประชาสังคม แบ่งออกเป็น 2 ส่วน คือ
(สังกัดส่วนภูมิภาคและสังกัดส่วนกลาง ที่มีที่ทำการตั้งอยู่ในเขตพื้นที่จังหวัด) องค์กรภาคธุรกิจ เอกชน สมาคม องค์กรปกครองส่วนท้องถิ่น โรงเรียน สถานีตำรวจ โรงพยาบาล โรงงาน ฯลฯ (ยกเว้นอำเภอ ซึ่งอยู่ในส่วนของอำเภอคุณธรรมแล้ว)
องค์กรคุณธรรม มีการประเมินตามตัวชี้วัด 9 ข้อ แบ่งออกเป็น 3 ระดับ คือ
(ต้องมีการดำเนินการทุกข้อ และมีคะแนนรวมไม่น้อยกว่า 3 คะแนน)
(ต้องดำเนินงานทุกข้อในระดับที่ 1 และระดับที่ 2 และมีคะแนนรวมน้อยกว่า 6 คะแนน)
(ต้องมีการดำเนินงานทุกข้อในระดับที่ 1 ระดับที่ 2 และระดับที่ 3 และมีคะแนนไม่น้อยกว่า 9 คะแนน)
บริการข้อมูล
● การบริหารราชการ
○ การงบประมาณ● บุคลากรผู้ปฏิบัติงาน
○ การแต่งตั้งบุคคลในวงงานรัฐสภา● ระบบตำแหน่งข้าราชการรัฐสภาสามัญ
○ โครงสร้างและระบบงาน● ค่าตอบแทนข้าราชการรัฐสภาสามัญ
○ ค่าตอบแทน● การสรรหาข้าราชการรัฐสภา
○ การสรรหาเชิงรุก● การแต่งตั้งข้าราชการรัฐสภาสามัญ
○ การแต่งตั้ง● การเพิ่มพูนประสิทธิภาพและเสริมสร้างแรงจูงใจ
○ การประเมินข้าราชการ● จริยธรรมและวินัยข้าราชการรัฐสภาสามัญ
○ การเสริมสร้างและพัฒนามิให้ผู้อยู่ใต้บังคับบัญชากระทำผิดวินัย● การอุทธรณ์ ร้องทุกข์ และการออกจากราชการ
○ การอุทธรณ์● การประเมินผลการปฏิบัติงานของส่วนราชการ
○ การประเมินผลการปฏิบัติราชการของส่วนราชการสังกัดรัฐสภา● การบริหารทรัพยากรบุคคล
○ ยุทธศาสตร์การบริหารทรัพยากรบุคคล